ก็ถึงวันรอบสื่อมวลชน สำหรับภาพยนตร์จีนฟอร์มยักษ์ “มังกรหยก จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่”กับการแสดงของ เซียวจ้าน ที่ประกบคู่กับ จวงต๋าเฟย กำกับโดย ฉีเคอะ นำทัพโดย Sony Pictures
แต่ก่อนภาพยนตร์จะฉายผู้บริหาร Sony ได้มอบของที่ระลึกให้กับพันธมิตร พร้อมให้กล่าวถึงการพากย์หนังเรื่องนี้ จากนั้นก็ถึงเวลาของ เซียวจ้าน จากที่ดูจนจบเรื่องจะไม่เห็นหน้าเนียนใสของพระเอกเลย ซึ่งก็เข้าใจได้ว่า ก๊วยเจ๋งเป็นนักรบหน้าต้องคล้ำแดด ฉะนั้นจะมาหน้าใสมันก็ไม่เข้ากับบท ทว่าการแสดงของเซียวจ้านต่างหากที่น่าจับตามองเพราะดูทะมัดทะแมง ขณะออกแต่ละกระบวนท่าที่ฝึกมาก็ดูเท่ เรื่องราวรวบรัดให้เข้าใจว่าก๊วยเจ๋งเรียนวิชาอะไรมาบ้างถึงเก่งกาจสามารถนำทัพออกศึกมีอึ้งย้งเคียงข้าง โดยเป็นหนังลงทุนสูง ทั้งเสื้อผ้า หน้าผม ฉากอลังการทำให้เห็นยุทธจักรโบราณช่วงมีสงครามก็ทำถึงจริง ส่วนการแสดงของเซียวจ้านและจวงต๋าเฟยที่ถูกจับตามองกว่าคนอื่น ซึ่งทั้งคู่แสดงออกมาให้เชื่อว่าเก่งกาจและเป็นคู่รักกันแม้ไม่มีฉากกุ๊กกิ๊กเพราะอยู่ช่วงสงคราม หนำซ้ำดูแล้วเชื่อว่าทั้งสองอยู่ในยุคโบราณนั้น แต่ถ้าจะเข้าไปดูสำหรับคนรุ่นใหม่ควรรู้เรื่องราวมาก่อนก็ดีจะได้รู้ว่าฉีเคอะหยิบตอนไหนมาทำเป็นหนัง ได้เห็นฉากที่ยิ่งใหญ่ในสนามรบ เห็นการเสียสละของเหล่าวีรบุรุษและศัตรูมันดูยิ่งใหญ่พาฮึกเหิมเลย ต้องชื่นชมผู้ที่ทำให้มังกรหยกที่เคยทำซีรีส์มาหลายตอนแต่พอมาทำหนังให้ดู 2 ชั่วโมงก็เข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินเรื่องไม่ยืดอืด หนำซ้ำเอฟเฟกต์ตระการตาและทรงพลัง ยิ่งตอนเซียวจ้านปล่อยพลังซัดศัตรูไม่ต้องสู้ประชิดตัวก็กำราบคู่ต่อสู้ในพริบตาอย่างสง่าผ่าเผย สมเป็นหนังที่สะท้อนให้เห็นว่าไม่ว่ายุคสมัยใดแม้แต่ในยุทธภพก็มีการแกร่งแย่งชิงดินแดนเพื่อแสวงหาความสุขสงบ แต่ที่ลืมไม่ได้คงเสียงพากย์ของทีมพันธมิตรจากประกาศแขวนทีมก็ให้จดจำพวกเขาเป็นตำนาน ได้ทุ่มพลังพากย์ในสไตล์พันธมิตรทำให้หนังดูสนุกและเข้าใจ

“Cleaner – ไต่ระทึก ตึกนรก” โดยมี 3 นักแสดงนำอย่าง เดซี ริดลีย์, ทาซ สกายลาร์ และ ไคลฟ์ โอเวน โดยเป็นการคัมแบ็กอย่างสมศักดิ์ศรีของสุดยอดผู้กำกับ “มาร์ติน แคมป์เบลล์” (Casino Royale)
หนังมาแนวให้ได้นึกถึง Die Hard นรกระฟ้า แต่ ตัวเอก คือผู้หญิง เดซี่ ริดลีย์ ที่มาเล่นเรื่องนี้ ดูสวยหวานและผอมตัวเล็กลงกว่าบท เรย์ ในหนังมหากาพย์ Star Wars ทว่าก็ดูทะมัดทะแมง แรก ๆ เกริ่นแล้วว่านางเอกชอบการปีนป่ายเพื่อหลบเลี่ยงพ่อชอบเสียงดังตวาดน้องชายที่เป็นออทิสติกทุกครั้งเวลาเข้าบ้าน ทำให้พอโตขึ้นก็ยังชื่นชอบเมื่อตกงานจากกองทัพก็ไปทำงานเช็ดกระจกตึกสูง ๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถนัดและชื่นชอบ นางเอก็แสดงให้เชื่อว่าเป็นเรื่องถนัดและไม่มีความหวาดกลัวความสูงแต่อย่างใด ทำเอาเราที่นั่งดูผวาแทนซะงั้นเวลาตัดภาพไปมองด้านล่าง ในเรื่องก็มีฉากต่อสู้อยู่บ้าง แต่ไม่ได้ยาวมาก เพราะจะเน้นไปที่การแก้สถานการณ์มากกว่า แต่ไคล์ฟ โอเวนออกมาไม่นานก็ตายก็เข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้โหดเหี้ยมมาแนวอนุรักษ์เพียงแต่ลูกน้องมันคลั่งฆ่าคนกว่าก็เท่านั้น สำหรับเนื้อเรื่อง บทภาพยนตร์ทำออกมาดีสมเหตุผลในการฉีกหน้าพวกคดโกงทั้งหลาย เป็นหนังที่เดินเรื่องค่อนข้างเร็ว ไม่ยืดเยื้อ ดูสนุก ยิ่งมีฉากในที่สูงด้วยมุมกล้องทำให้เวลาดึงภาพจากมุมมองที่ไม่ค่อยเสียวพอ เลื่อนออกมาจนเสียวไส้แล้วเติมอรรถรสด้วยความระทึกให้มากขึ้นไปอีก เรื่องราวค่อนข้างพาให้ลุ้นช่วยนางเอกมากกว่าใคร ส่วนตัวประกันนั้นสมควรรับกรรมที่ก่อไว้กับประชาชนในประเทศแล้วแหละ

“Den Of Thieves 2 : Pantera โคตรนรกปล้นเหนือเมฆ แพนเธอรา” ที่นำแสดงโดย เจอราร์ด บัตเลอร์, จอร์แดน บริดเจส, โอเช แจ็กสัน จูเนียร์, เอวิน อาหมัด โดยผู้กำกับ คริสเตียน กูดแกสต์
เนื้อเรื่องมาแนวใส่รายละเอียดทุกขั้นตอนของการปล้น เรียบเรียง มุมกล้องการถ่ายทำได้ดี ทำให้เห็นในเวลาเดียวกัน ใครทำอะไรอยู่บ้าง เกิดช่องว่างในแต่ละจุดที่ป้องกันได้อย่างไร การทำงานเป็นทีมที่คอยช่วยซับพอร์ตกัน แต่มุมกล้องเน้นถ่ายระยะใกล้เกือบตลอดทั้งเรื่อง แม้กล้องที่ถ่ายจะแทบไม่มีการสั่นก็ยังทำให้ดูแล้วต้องเพ่งสายตามากกว่าปกติ ไม่ถึงกับปวดหัว แต่ก็รู้สึกดูแล้วไม่สบายตาเท่าไหร่ ส่วนการดำเนินเรื่อง บทภาพยนตร์โดยรวมทำออกมาดี เชื่อมโยงกันได้หมด เคลียร์เรื่องราวได้ทุกประเด็นไม่ค้างคา มาที่สองนักแสดงของทั้งเจอราร์ดและจอร์แดนดูธรรมดานะ ถามหาบู๊มีบู๊น้อยมาก สำหรับฉากต่อสู้ เพราะจะออกแนวขับรถหนี หันหลังมายิงปืนใส่กันแบบนั้นเพราะมันเป็นหนังปล้นไง

“สาปอรพิษ – Serpent Beauty” ภาพยนตร์แนวระทึกขวัญปนแฟนตาซี ที่นำแสดงโดย แพทรีเซีย กู๊ด, อนันดา เอเวอริ่งแฮม, อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์, พิชญะ นิธิไพศาลกุล กำกับโดย ลี ทองคำ
เปิดเรื่องมาในช่วงแรกค่อนข้างยืดเยื้อ ใช้เวลาปูเรื่องราวของตัวละครนานจนบางช่วงดูเฉื่อยเล็กน้อย เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางเนื้อเรื่องก็กระตุ้นความตื่นเต้นด้วยปริศนาและเหตุการณ์ลึกลับ แต่การตัดต่อที่กระโดดไปมา ทำให้บางฉากดูสับสนเกินไป อีกทั้งปมบางอย่างที่วางไว้กลับไม่ได้รับการคลี่คลายในตอนจบ ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนละครไทยที่ดูงง ๆ มากกว่าจะเป็นบทสรุปที่สมเหตุสมผล อีกจุดที่ทำให้หนังเสียอารมณ์ไปบ้างคือการเล่นมุกตลกที่ใส่เข้ามาแบบผิดจังหวะ ทำให้บางฉากที่ควรจะเข้มข้นและดราม่ากลับไม่สามารถดึงอารมณ์ได้เลย แล้วบางครั้งความขัดแย้งที่ควรจะหนักแน่นกลับถูกลดทอนลงด้วยอารมณ์ขันที่ใส่มาแบบไม่จำเป็น ทว่า จุดแข็งของเรื่องอยู่ที่การแสดงของ อนันดาที่ถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครได้อย่างเข้มข้นและมีมิติ ทำให้รู้สึกอิน ในส่วนของงาน CG ถือว่าทำออกมาได้ดีมีความเนียนสมจริง ไม่ลอยจนดูขัดตา แต่ก็ยังมีบางฉากที่ดูโดดออกจากภาพรวมของหนังอยู่บ้าง โดยภาพรวมถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจสำหรับคนที่กลัวงู ก็ดูได้สบาย ๆ เพราะไม่มีฉากที่เล่นกับความน่ากลัวของงูมากนัก เน้นบรรยากาศความลึกลับและคำสาปเป็นหลัก

