หนังดีติดดาว

หนังดีติดดาว***

         วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ส่งฮีโร่สี่ขาปราบวายร้ายใน DC League of Super-Pets” ของผู้กำกับฯ จาเร็ด สเติร์น โดยได้ “ดเวย์น จอห์นสัน” มาให้เสียงพากย์ คริปโต ซูเปอร์ด็อกในภาพยนตร์แอ็กชั่นผจญภัยแอนิเมชั่น นอกจากนี้นักแสดงผู้มาให้เสียงพากย์ในเรื่องยังรวมถึง เควิน ฮาร์ท, เคท แม็คคินนอน, จอห์น คราซินสกี้, วาเนสซ่า เบเยอร์, นาตาชา ลีโอนน์, ดิเอโก้ ลูน่า, มาร์ค มารอน, โธมัส มิดเดิลดิตช์, เบ็น ชวาร์ตซ และ คีนู รีฟส์ ให้เสียงพากย์ แบดแมน

          ฉากเปิดเรื่องปูความสัมพันธ์ของซูเปอร์แมนกับคริปโตว่าผูกพันธ์กันมาตั้งแต่เขายังเล็ก พูดง่าย ๆ ต่างมีกันและกันตั้งแต่พ่อแม่ของซูเปอร์แมนส่งลูกชายใส่ยานให้หนีจากดาวที่กำลังจะแตกสลายทว่าคริปโตกระโดดขึ้นยานมาด้วย ที่นั้นคือ ‘โลก’ โลกที่ทั้งสองมีกันมาตลอดจนซูเปอร์แมนมีความรักและกำลังจะแต่งงาน คริปโตน้อยใจ เสียใจคิดว่าซูเปอร์แมนแบ่งความรักให้คนรัก นอกจากหนังสื่อความรัก ความผูกพันธ์ของคนกับสัตว์แล้ว มิตรภาพเกิดใหม่ที่คริปโตเพิ่งรู้จักคือ มิตรภาพระหว่างเพื่อน เมื่อซูเปอร์แมนถูกวายร้ายจับตัวไป และไม่ใช่แค่ซูเปอร์แมนกลุ่มจัสติซ ลีกก็ถูกจับไปด้วย คริปโตจึงต้องออกโรงช่วยเหลือเจ้านายอันเป็นที่รัก และโชคเข้าข้างเมื่อสัตว์ที่เคยอยู่ศูนย์พักพิงเกิดมีพลังขึ้นมา ความใกล้ชิดทำให้คริปโตรู้จักคำว่า เพื่อนครั้งแรก แถมเพื่อนใหม่ก็ร่วมด้วยช่วยกันจัดการวายร้ายที่จับตัวเหล่าจัสติซ ลีก เรื่องราวเดินเรื่องสนุกไม่เฉื่อย ฉากความรักของซูเปอร์แมนกับคริปโตหรือความรักระหว่างเพื่อนก็ถ่ายทอดออกมาดี ยิ่งปมของเอซที่ต้องมาอยู่ศูนย์พักพิงก็ให้ข้อคิดและซึ้ง ส่วนฉากแอ็กชั่นก็จัดเต็มดูมันส์ เสียงเอฟเฟคสะเทือนโรงสะเทือนหู ถ้าอยากดูหนังในโรง DC League of Super-Pets เหมาะทุกเพศทุกวัย อมยิ้มกับความรักของคนและสัตว์ และดีแท้จะมีภาคต่อ ส่วนตัวเฮียดเวย์นกัยเฮียคีนูให้เสียงตัวละครได้น่าเชื่อ

ติดให้ ****

         คำถามภาพยนตร์เรื่อง “DC League of Super-Pets” ใครให้เสียงพาย์ คริปโต ซูเปอร์ด็อก?

ทราบคำตอบเขียน ใส่ไปรษณียบัตร พร้อมชื่อ- ที่อยู่ – เบอร์โทรศัพท์และคำตอบให้ชัดเจน ส่งมาที่

#คอลัมน์หนังดีติดดาว 

32/15 ซอยลาดพร้าว 23 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 

ขอบคุณ “วอร์เนอร์ บราเดอร์ส” ที่สนับสนุนของรางวัล 3 รางวัล

          Emergency Declaration ไฟลท์คลั่ง ฝ่านรกชีวะ” ที่เล่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดซึ่งเกิดขึ้นบนไฟลท์บินจากกรุงโซลมุ่งหน้าสู่ฮาวาย เมื่อความโกลาหลบนเครื่องบินทำให้ต้องประกาศเหตุฉุกเฉินและต้องลงจอดในทันที แต่สถานการณ์นั้นกลับเลวร้ายเกินที่จะให้ลงจอดได้หลังพบว่า “บางอย่าง” บนไฟลท์นี้อาจพลิกชะตาชีวิตมนุษยชาติทั้งบนพื้นดินและบนฟ้าเข้าสู่ชะตากรรมวิกฤตล้างโลก ที่ได้นักแสดงแถวหน้าของเกาหลี อาทิ ซงคังโฮ, อีบยองฮอน, จอนโดยอน, คิมนัมกิล , อิมชีวาน, คิมโซจิน, พัคแฮจุน และ ซอลอินอา

          หนังมีความทริลเลอร์ด้วยการเดินเรื่องที่ฉับไวตัดสลับเหตุการณ์ระหว่างภาคพื้นดินที่มี อินโฮ นายตำรวจ ที่สืบหาเบาะแสของชายคนหนึ่งที่อัดคลิปว่าจะก่อการร้ายบนเครื่องบิน กับบนเครื่องบินที่มี แจฮยอก คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่กำลังจะพาลูกสาวไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฮาวาย นี่คือการผลักดันเส้นเรื่องให้เดินหน้าไปพร้อมกัน โดยทั้ง 2 ส่วนจะค่อย ๆ เติมเต็มเรื่องราวระหว่างกันไปเรื่อย ๆ และเป็นสองเส้นเรื่องที่ต้องลุ้นทั้งคู่ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะส่งผลถึงกันและกันเสมออาจจะมีตัวละครรองบางตัวและสถานการณ์บางอย่างที่ดูน่ารำคาญและผิดที่ผิดทางอยู่บ้าง แต่ของดีที่แท้จริงมันอยู่ที่ความลุ้นระทึกไปกับสถานการณ์มากกว่า เป็นการดูหนังที่ทั้งสนุกและเหนื่อยไปพร้อมกันจริง ๆ ผู้สร้างก็รู้นะ เลยมีใส่มุกตลกให้ผ่อนคลายอารมณ์ในหลายจังหวะให้ได้หายใจหายคอแต่กลับมาลุ้นต่อ  ซึ่งถือเป็นหนังที่รวมแอ็กชั่น, ทริลเลอร์ และ ดรามา เข้ามาผสมกันได้อย่างลงตัว ส่วนแอ็กชั่นนั้นมีพอประมาณ ไปเน้นตื่นเต้นกับดรามาก็ทำให้หนังออกมาสนุกได้ และทุกจังหวะที่หนังเปลี่ยนโทนคือเป๊ะมาก ได้ผลทุกครั้ง ไม่ว่าจะยิงทางไหนออกมาก็ตามหนังไม่ได้มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรที่ไม่เคยเห็น ทุกอย่างเป็นไปตามสูตรสำเร็จเป๊ะ ๆ แต่ทำออกมาโคตร cliché ให้หนังดูสนุกมากกกก (เติม ก หลายตัว)

ติดให้ **** ครึ่ง

          “ไลโอ โคตรแย้ยักษ์” เรื่องราวเกิดขึ้น ณ ดินแดนสุดแห้งแล้งแถบภาคอีสานในจังหวัดเลยประสบปัญหาภัยแล้งทุกปี ทำให้มีกลุ่มคนที่แย่งชิงการขุดเจาะหาแหล่งน้ำบาดาลเกิดขึ้นเพื่อหาผลประโยชน์จากการขุดเจาะน้ำบาดาล ที่จากดินแดนสวรรค์กลับกลายเป็นนรกในทันที เมื่อสัตว์ประหลาดร้ายสายพันธุ์ดึกดำบรรพ์ตื่นจากการจำศีล เพราะถูกปลุกจากพวกเขานั่นเอง สัตว์นักล่าสายพันธุ์ใหม่ขนาดมหึมาที่ล่าใครแล้วโอกาสรอดยาก ทำให้พวกเขาต้องหาทางรับมือกับมัน และทางเดียวที่จะรอดคือต้องสู้! นำแสดงโดย กอล์ฟ-พิชญะ นิธิไพศาลกุล, ฟาง-ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์ ของค่าย เนรมิตรหนัง ฟิล์ม

          หนังปูเรื่องให้ตัวละครเอกเป็นนักร้องตกอับ ซึ่งดูแล้วไม่มีความจำเป็นอะไรเลย แถมยังดูไม่น่าเชื่อว่าวางไมค์ปุ๊บจะมาจับเครื่องเจาะน้ำบาดาลต่อได้ปั๊บอีกต่างหาก หนังใส่ชุดตัวละครรองที่รุงรัง วุ่นวาย และน่ารำคาญเข้ามาเยอะเกินไปแต่ก็เพื่อไว้รอกำจัดทิ้ง แล้วมีจังหวะที่หนังเล่าย้อนเพื่อบอกเล่าพื้นฐานของตัวละครหลัก 2 ตัวในวัยเด็กที่เป็นดรามาความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครให้เข้าใจปูมหลัง แต่ไม่สามารถเอาดรามาตรงนั้นมาดึงอารมณ์ร่วมกับเรื่องปัจจุบันได้เลย แถมหนังยังตัดต่อได้กระท่อนกระแท่นจนเสียความลื่นไหลของเรื่องราวไป  ส่วนจริตของความเป็นหนังสัตว์ประหลาดคือจะมีสูตรสำเร็จอยู่แล้ว แต่ใน ‘ไลโอ’ ดันมีวิธีเล่าเรื่องไปคล้ายกับหนัง cult classic ชุดนึง ซึ่งคิดว่าคนทำเองก็คงรู้ดีถึงให้ตัวละครพูดถึงหนังชุดนี้ขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวที่กล้าหาญในการตัดสินใจทำหนังสัตว์ประหลาดสัญชาติไทยออกสู่ตลาด ทั้งที่รู้อยู่ว่าต่อให้ตีฆ้องร้องป่าวแค่ไหน CG สุดยอดก็คงไม่อาจเทียบเคียงคุณภาพระดับโลกทางฝั่งตะวันตกได้อยู่ดี ภาพตัวสัตว์ประหลาดที่ออกมามันลอยทุกครั้ง แต่อยากให้โอกาสหนังไทยได้เปิดแนวทางที่ไม่ค่อยมีคนกล้าทำออกมากัน

ติดให้ * ครึ่ง

          “บุพเพสันนิวาส ๒” โดยผู้กำกับ ปิ๊ง-อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม เป็นภาพยนตร์ร่วมทุนฟอร์มยักษ์ระหว่าง จีดีเอช กับ บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น  บอกเล่าเรื่องราวความรักในชาติภพใหม่ของ “พี่หมื่นและแม่หญิงการะเกด” ที่กลับชาติมาเกิดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งได้พระ-นางคู่ขวัญ โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ และ เบลล่า-ราณี แคมเปน ร่วมด้วย ไอซ์-พาริส อินทรโกมาลย์สุต ฯลฯ

           ต้องยอมรับว่านี่คือการร่วมมือกันของ 2 บริษัทใหญ่ในวงการบันเทิงที่ถึงแม้จะอยู่กันคนละสาย แต่งานที่ออกมาก็เป็นความลงตัวที่สวยงาม โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ของแต่ละบริษัทไว้ได้ คือได้เห็นจริตแบบละครหลังข่าว และการเล่าเรื่องแบบ GDH ที่มีความ feel good เป็นลายเซ็นหลัก ในส่วนของนักแสดง โดยเฉพาะคู่พระนางเคมีเข้ากันสุด ๆ ส่วนตัวละครรองที่สร้างสีสันและขโมยซีนได้อยู่เนือง ๆ แต่แอบรำคาญกับความบิดเบือนประวัติศาสตร์ที่บิดจนไม่แคร์บุคคลที่เคยมีชีวิตและบทบาทในสมัยตันรัตนโกสินทร์เลย สำหรับฉากที่สร้างออกมาถือว่าดี สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงในการศึกษาข้อมูล ทำให้ได้เห็นอะไรหลายอย่างที่ปัจจุบันนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว แต่ CG ยังดูไม่ค่อยนิ่ง เพราะมีทั้งฉากเนียนตาและสวยงามไปจนถึงฉากที่ดูแล้วมันลอยไม่สมจริงเท่าไหร่  ซึ่งเป็นหนังที่ทำออกมาเซอร์วิสแฟนละครอย่างแท้จริง มันไม่ใช่ภาคต่อที่ต้องดูให้ครบทุกตอน แต่เป็น spin-off ที่สามารถ stand-alone ได้ด้วยตัวเอง แถมยังทำตัวเป็นสะพานเชื่อมความเป็น multiverse ไปด้วย กับความยาวเกือบ 3 ชั่วโมงของหนังและมี mid-credit scene ให้ดูกันต่อ 80% แต่คนดูเดินออกไปทันทีที่หนังจบเลยพลาดสิ่งนี้ไป ก็ขอแจ้งให้รู้

ติดให้ ** ครึ่ง

         “Official Competition” เป็นผลงานของ 2 ผู้กำกับคู่หูชาวอาร์เจนตินา – กัสตอน ดูปราท และ มาริอาโน โคห์น ซึ่งถนัดทำหนังตลกเสียดสี ได้ เพเนโลปี ครูซ, อันโตนิโอ บันเดอรัส และ     ออสการ์ มาร์ติเนซ มาร่วมงาน โดยเล่าเรื่องของ โลลา ผู้กำกับหนังอาร์ตชื่อดัง (เพเนโลปี ครูซ) ได้รับการว่าจ้างจากมหาเศรษฐีให้ทำหนังอะไรก็ได้ที่ “ต้องดัง” และ “กวาดทั้งเงิน และรางวัล” โลลาจึงเกิดไอเดีย เอานักแสดงชาย 2 คนที่ต่างกันสุดขั้ว มาเล่นหนังเรื่องนี้ คนแรกคือ เฟลิกซ์ (อันโตนิโอ บันเดอรัส) ซูเปอร์สตาร์ขาใหญ่จากฮอลลีวูด และคนต่อมาคือ อีวาน (ออสการ์ มาร์ติเนซ) นักแสดงละครเวทียอดฝีมือซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น “ปรมาจารย์แห่งการแสดง” การปะทะกันของอีโก้ของชายสองคน โดยมีผู้กำกับสาวจอมป่วนเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา จึงส่อเค้าว่า ความสนุกระดับบรรลัยจะเกิดขึ้น!

         Satire หรือ การเสียดสี มาเต็มมากกับหนังเรื่องนี้ นี่คือหนังที่ล้อเลียนหนังอีกที เป็นการเสียดสีและล้อเลียนวงการสร้างหนังทั้งระบบ ไม่ว่าจะคนเบื้องหน้าอย่างดาราไปจนถึงคนเบื้องหลังอย่างทีมงานไปยันผู้กำกับ คือจิกกัดวงการแบบขำได้ขำดีแทบตลอดทั้งเรื่อง แถมยังขำไปกับอีโก้ของ 2 นักแสดงชายต่างสายที่ขนเอาความเป็นตัวเองมาปะทะกันในระหว่างที่ทั้งคู่และผู้กำกับสาว พยายามเรียนรู้และทำความรู้จักกัน เพื่อที่จะได้ร่วมงานกันอย่างราบรื่นจนเกิดเป็นมุกที่ยิงทีไรได้ผลเกือบทุกที  หนังทำให้ได้เห็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้เห็น นั่นคือเรื่องของความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างนักแสดง ผู้กำกับ และทีมงาน ปกติดูหนังเรื่องหนึ่งก็เห็นเป็นงานที่เสร็จออกมาเรียบร้อยแล้ว พอได้มาเห็นแบบนี้แล้วก็เข้าใจว่า การสร้างหนังเรื่องหนึ่งมันไม่ง่ายเลย เพราะคนเบื้องหลังตลอดจนนักแสดงต่างก็ต้องเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกันเพื่อให้งานเสร็จและหนังออกฉายได้   ส่วนคอนเซปต์ของหนังที่ซ้อนอยู่ในเรื่องอีกทีไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร แต่กับหนังเรื่องนี้คือน่าติดตามนะ ถึงจะเดินเรื่องด้วยบทสนทนาแบบเจ็บ ๆ คัน ๆ ที่ฟังไม่ออกและต้องอ่านซับตลอดกก็ไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหรือทรมานที่สายตาต้องจับจ้องอยู่ขอบล่างของจอเลยสักนิด

ติดให้ ****

          “ทวงคืน” ผลงานกำกับและนำแสดงเองเรื่องล่าสุดของ แดน-วรเวช ดานุวงศ์ ที่คัมแบ็กมาประกบคู่กับหวานใจในชีวิตจริง แพทตี้-อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา พร้อมด้วยพี่ชายสุดชี้ บีม-กวี ตันจรารักษ์  ที่เล่าเรื่องราวของ ดินและพลอย คู่รัก YouTuber ที่กำลังจะเลิกกันแต่กลับต้องมาแสร้งทำเป็นว่ายังรักกันดีเพื่อสร้างคอนเทนต์ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของความปั่นป่วนวุ่นวายเมื่อทั้งคู่ได้หลงเข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่มีบางอย่างตามล่าและหมายจะเอาชีวิต แถมทั้งคู่ยังต้องมาเจอกับ บริบูรณ์ ไลฟ์โค้ชตกอับ และ ลุงพล ชาวไร่สายโหด เข้าในคืนวันเดียวกันด้วย

หนังมีความเพี้ยนและไม่เต็มตั้งแต่ 10 นาทีแรก การเดินเรื่องแบบจับแพะชนแกะและทีเล่นทีจริง ก็เลยทำให้ไม่ว่าจะความตลก สยองขวัญ หรือความโรแมนติกนั้นไปไม่สุดสักทางเลย เส้นเรื่องรองที่แตกออกเป็น 3 เส้น ตามจำนวนตัวละครหลัก จะค่อย ๆ ขยับเดินไปเรื่อย ๆ พร้อมกับเติมเต็มเส้นเรื่องหลักทีละนิด แล้วหนังมีการผสมกันระหว่างตลกที่ขำบ้างไม่ขำบ้างสลับกับความสยองขวัญ ที่จริง ๆ คงไม่ได้ตั้งใจจะให้หลอน ก็เลยออกมาแบบทีเล่นทีจริงไป แต่ที่สอบผ่านคือความโรแมนติก ก็พระนางซึ่งเป็นแฟนกันจริง ๆ ได้ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาดี  แต่ก็นั่นแหละ กว่าจะผ่านความสับสนวุ่นวายของการเล่าเรื่อง ความไร้ตรรกะของตัวละคร และความไม่สมเหตุสมผลจนถึงความเหลือเชื่อของเรื่องราวมาได้ ก็เล่นเอาเหนื่อยใจที่ต้องอดทนดูอยู่พอสมควร ติดให้ *

คำถามภาพยนตร์เรื่อง “ทวงคืน” ใครเป็นผู้กำกับเรื่องนี้?

ทราบคำตอบเขียน ใส่ไปรษณียบัตร พร้อมชื่อ- ที่อยู่ – เบอร์โทรศัพท์และคำตอบให้ชัดเจน ส่งมาที่

#คอลัมน์หนังดีติดดาว 

32/15 ซอยลาดพร้าว 23 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 

ขอบคุณ “เอ็ม พิคเจอร์ส” ที่สนับสนุนของรางวัล 3 รางวัล

The Witch 2 : The Other One” ผลงานที่ค่ายไฟว์สตาร์ภูมิใจนำเสนอ เป็นภาคต่อของ The Witch 1 : Subversion หนังปี 2018 สำหรับภาคนี้ทุ่มทุนสร้างมหาศาลคว้าตัวนักแสดงแถวหน้าอย่าง LEE Jong-suk อีจงซอก, KIM Da-mi คิมดามี, PARK Eun-bin พัคอึนบิน, SEO Eun-soo ซออึนซู, JIN Goo จินกู, SUNG Yu-been ซองยูบิน, JO Min-soo โจมินซู และ SHIN Sia ชินชีอา กำกับฯ โดย PARK Hoon-jung พัคฮุนจอง  กับเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ฟื้นขึ้นมาท่ามกลางความพินาศของห้องทดลองแห่งหนึ่ง แล้วได้รับความช่วยเหลือจากพี่น้องคู่หนึ่ง และเมื่อมีภัยมาคุกคามพี่น้องคู่นี้ เธอจึงให้ความช่วยเหลือ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งกำลังพยายามตามหาและตามล่าตัวเธออย่างสุดกำลัง

สำหรับเรื่องราวในภาคนี้แบ่งเป็น 3 เส้นเรื่อง คือของตัวเด็กผู้หญิง ซึ่งขนานกับอีก 2 เส้นเรื่องที่เป็นเรื่องราวของทีมนักล่าอีก 2 ทีม แต่ออกมายุ่งเหยิงและวุ่นวาย ซึ่งมีทั้งขนาน ทับซ้อน และเกี่ยวพันกันทั้งเรื่องแต่บรรจบกันในช่วงท้าย แล้วถ้าใครไม่เคยดูภาคแรก ตอนจบบอกเลยว่างง และเข้าไม่ถึงแน่นอน  ด้านของ CG ดีใช้ได้ มีบางฉากที่ดูลอย ๆ อยู่บ้าง แต่รวม ๆแล้วไม่อับอายขายหน้าใคร ฉากแอ็กชั่นดูหลุดโลกและเกินจริงแต่มันมีโลกของมันที่ได้รับการเซ็ตอัปไว้ตั้งแต่ภาคแรก ฉะนั้นถ้ามองในมุมที่เคยดูภาคแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะความเกินจริงที่เห็นก็คือเคยเห็นมาแล้วนั่นเอง  โดยรวมแล้วเป็นหนังที่ดูได้แต่ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่นัก เพราะเรื่องราวดูวุ่นวายสับสนในช่วงแรก ตัวละครรองบางตัวดูไร้สาระและไม่มีประโยชน์กับเรื่องราวเลย ถ้าตัดออกไปก็น่าจะดีกว่านี้ อย่างน้อยก็ย่นระยะเวลา 2 ชั่วโมงนิด ๆ ลงมาก็คงจะลงตัวกว่านี้

ติดให้ **

“1 UP” เล่าเรื่องราวของการรวมตัวเด็กสาวที่ไม่ย่อท้อต่อปัญหา มันคือการแสดงพลังหญิง มันคือเรื่องราวการเดินทางที่สวยงามของเด็กผู้หญิง ที่เชื่อมโยงกันและกัน และเล่าว่ามันยากแค่ไหนที่ผู้หญิงจะยืนหยัดขึ้นมาในวงการที่ชายเป็นใหญ่  “รูบี้ โรส” หนึ่งในนักแสดงสาวมาดเท่ John Wick: Chapter 2 ที่ครั้งนี้ขอพลิกบทบาทมาสวมบทโค้ชมากความสามารถ กับผลงานการกำกับของ ไคล์ นิวแมน เจ้าพ่อหนังวัยรุ่นจาก Barely Lethal และ Fanboys

          หนังจับประเด็นที่วงการเกมส์ ดูจากสิ่งที่ใส่มามากมายแล้วต้องขอชมการเก็บข้อมูลและทำการบ้านมาดีพอสมควร เพราะได้เห็นอะไรหลายอย่างที่เป็นการอ้างอิงถึงเกมส์และวงการเกมส์ตั้งแต่ยุค 80’s มายัน 2000’s  โปรดักชันถือว่าสอบผ่านนะ บรรยากาศร้านเกมส์และการแข่งขันดูสมจริงดี แต่ปัญหาอยู่ที่เรื่องราวที่นำเสนอและวิธีการเล่า คือเล่าแบบทีเล่นทีจริงมากเกินไป ทั้งที่ประเด็นที่อยากจะสื่อจริง ๆ ก็คือเรื่องของเพศสภาพและสิทธิทางเพศ แต่กลายเป็นว่าหนังไปเสียเวลากับความไม่จริงจังในบุคลิกของตัวละครและการเดินเรื่อง แถมเล่าไปเล่ามาเดินเรื่องไปเดินเรื่องมาจากการดูถูกเหยียดหยามเพศสภาพที่เปิดหัวเรื่องมาทีแรกก็กลายเป็นว่าฝ่ายหญิงก็ทำใส่ฝ่ายชายเช่นกัน อ้าว หลงทางไปซะงั้น โดยรวมแล้วเป็นหนังที่ดูได้ไม่ได้แย่จนรับไม่ไหว แต่ก็ไม่ได้ดีจนถึงมีอะไรให้จดจำเช่นกัน

ติดให้ **

Related posts