“รีฟส์” เลือก “แพตทินสัน” เป็นฮีโร่สวมหน้ากาก “THE BATMAN”

              บริษัทภาพยนตร์ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ส่งฮีโร่ใต้หน้ากากปกป้องเมือง THE BATMAN” รับบทโดย โรเบิร์ต แพตทินสัน ร่วมด้วย เจฟฟรีย์ ไรท์ รับบทเป็น เจมส์ กอร์ดอน, แอนดี เซอร์คิส ในบท อัลเฟรด, คอลิน ฟาร์เรลล์ กับบทไม่คาดคิด มนุษย์เพนกวิน, จอห์น เทอร์ทูร์โร รับบทเป็น คาร์มิน ฟัลโคนี และ พอล ดาโน รับบท เดอะริดเลอร์ วายร้ายผู้โหดเหี้ยมรายนี้ได้อย่างน่าสะพรึงกลัว ผลงานกำกับของ “แมตต์ รีฟส์”

              ร่างหนึ่งซุ่มซ่อนอยู่ในความมืด เป็นเงาที่แฝงเร้นอยู่ในเงา

              เหล่าอันธพาลหัวโล้นหลายสิบรายรวมตัวกันอยู่บนชานชาลาโล่งของสถานีรถไฟใต้ดิน ศีรษะขาวโพลน ดวงตาจับจ้องไปยังเงาดำมืดของทางเดินที่ไร้แสงไฟ พวกมันต่างเฝ้ามองการมาถึงของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญที่เป็นดั่งปีศาจในเงามืด เสียงฝีเท้ากึกก้องดังใกล้เข้ามาพร้อมลมหายใจหน่วงหนัก เหล่าอันธพาลตัวสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่นเหมือนหนูในท่อระบายน้ำที่รถไฟกำลังจะพุ่งเข้าชน ในที่สุดร่างนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นภายใต้ผ้าคลุมสีดำและชุดต่อสู้สีดำด้าน เขาสวมหน้ากาก หนึ่งในกลุ่มโจรเอ่ยปากถามสั้น ๆ “แกเป็นใครกันวะ” พลางก้าวมาข้างหน้าเพื่อเตรียมป้องกันตัวด้วยท่อเหล็กในมือ ร่างนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ปลดอาวุธโจรรายนั้น ระดมต่อยมันเข้ากับพื้นปูนของชานชาลาด้วยความโหดเหี้ยมดังสัตว์ร้าย จากนั้นลุกขึ้นจ้องตาโจรรายนั้นพร้อมตอบคำถาม “ข้าคือการล้างแค้น”

              บรรยากาศในฉากของ The Batman โดยผู้กำกับ “แมตต์ รีฟส์” ชวนให้หวาดหวั่นไม่แพ้การเปิดตัวของตัวละครเอกในเรื่อง ด้วยความมืดมน หม่นหมอง เต็มไปด้วยความคั่งแค้นที่เก็บกดเอาไว้ภายใน การถ่ายทำส่วนใหญ่เกิดขึ้นกลางดึก ทว่าการถ่ายทำช่วงกลางวันก็ยังคล้ายปกคลุมด้วยความมืด สายฝนเทกระหน่ำในเมืองก็อตแธม สภาพแวดล้อมนี้เกิดขึ้นโดยเจตนาตามแนวทางการสร้างสรรค์ที่ผู้กำกับได้วางไว้ รีฟส์มีวิสัยทัศน์ที่เรียบง่ายตรงไปตรงมา เป็นคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกับตัวตนที่แท้จริงของนักรบใต้เสื้อคลุมผู้นี้

              “Batman เริ่มจากการเป็นเรื่องราวแบบนัวร์ (noir) ถูกไหม” รีฟส์ตั้งคำถามนำ “คอมิกเป็นเรื่องราวแบบนัวร์และเขาก็เป็นนักสืบ เพราะฉะนั้นการย้อนกลับไปหาจุดเริ่มต้น การถอดความเป็นแฟนตาซีแบบซูเปอร์ฮีโร่ทิ้งไป และให้เขาเป็นมนุษย์ที่ปรารถนาจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่…สำหรับผม นี่แหละที่น่าตื่นเต้น”

              นอกเหนือจากงานออกแบบ รีฟส์ได้วางแนวทางของหนังจากความต้องการที่จะหลีกหนีจากเรื่องราวเกี่ยวกับจุดกำเนิดและความเป็นมา “ผมเห็นหนังที่เล่าถึงจุดกำเนิดมาแล้วหลายเรื่อง และผมคิดว่า ‘อืม ผมไม่อยากเล่าเรื่องราวจุดกำเนิด ผมอยากเล่าถึงแบทแมนวัยหนุ่มเลย’ ผมอยากวางเขาไว้ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน ตัวละครนี้ยังเหลือสิ่งที่ต้องปรับปรุง เขายังต้องผลักดันตัวเองให้เก่งกว่านี้ ผมอยากเล่าเรื่องของแบทแมนคนนี้และให้เขาได้ไขปริศนา เป็นเรื่องราวที่ไม่ได้เล่าถึงจุดกำเนิด แต่อ้างถึงจุดกำเนิดของเขาและสั่นสะเทือนเขาถึงตัวตนภายใน”

              การถ่ายทอดฉากอันดำมืดตกเป็นหน้าที่ของผู้กำกับภาพ “เกร็ก เฟรเซอร์” ซึ่งทำงานร่วมกับรีฟส์มานานแล้ว เขาช่วยผู้กำกับรายนี้ฉายภาพโลกที่เหมาะกับตัวละครเอกของเรื่อง

              “แมตต์กับผมคุยกันตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าอยากให้โทนย้อนกลับไปเหมือนตอนเริ่มเรื่องของแบทแมนในหนังสือคอมิก” เฟรเซอร์เล่า “บรูซ เวย์น เป็นตัวละครที่แหลกสลายและแบทแมนก็เป็นผลจากความแหลกสลายนั้น เราใช้ Batman: Year One เป็นแหล่งอ้างอิงหลัก เราไม่ได้ศึกษาเจาะลึกแต่ดูแนวทางโดยรวม แล้วมันก็กลายมาเป็นจุดตั้งต้นให้หนังของเรา เพราะมันเล่าถึงเรื่องราวของแบทแมนในวัยหนุ่มที่ค่อนข้างจะดาร์กกว่าช่วงอื่น ๆ”

              เพื่อถ่ายทอดภาพชายในหน้ากาก รีฟส์ต้องการนักแสดงผู้สามารถถ่ายทอดสิ่งที่เขาเรียกว่า “เงาตามทฤษฎีของคาร์ล ยุง” (Jungian shadow-side) สำหรับตัวตนลับอีกภาคหนึ่งของแบทแมนนั้น เขาอยากได้บรูซ เวย์นที่ดูกลัดกลุ้มร้อนรน คล้าย ๆ เคิร์ต โคเบนผสมกับฮาวเวิร์ด ฮิวส์ “เราเคยเห็นบรูซที่เป็นเพลย์บอย บรูซที่เป็นมหาเศรษฐีรวยล้นฟ้า แต่ผมอยากให้เขาเป็นคนเก็บตัวและออกจะร็อคแอนด์โรลล์หน่อย หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเขา บรูซถอยห่างจากการเป็นคนตระกูลเวย์น และคุณจะเห็นว่าเขาเหมือนกับร็อคสตาร์เลย”

              โรเบิร์ต แพตทินสัน มารับช่วงอธิบายต่อ “ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่อ่านบท มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างมาก ๆ บรูซยังคงต้องต่อสู้ดิ้นรน เขาไม่ใช่คนที่อยู่ด้วยแล้วจะสบายใจ แม้กระทั่งตอนที่เขาไม่ใช่แบทแมนก็เถอะ เขายังควบคุมบุคลิกของตัวเองไม่ได้ ยังไม่สามารถกำหนดเส้นแบ่งระหว่างเวลาที่เขาเป็นแบทแมนกับเวลาที่เขาเป็นบรูซ เขายังไม่ได้กำหนดให้ชัดเจนว่าแบทแมนคืออะไร ผมว่าการที่เขายังควบคุมตัวเองไม่ได้ตรงนี้มันน่าสนุกดี”

              “สิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้นในตัวโรเบิร์ต” รีฟส์กล่าว “ก็คือความจริงจังของเขา เรารู้ว่าเขาจะผลักดันตัวเองอย่างไร้ขีดจำกัด” รีฟส์พยายามที่จะนำตำนานของแบทแมนมาจัดวางโครงสร้างใหม่ และมองว่าแพตทินสันเป็นภาพที่ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับตัวละครที่ได้กลายเป็นฮีโร่มากกว่าเป็นมนุษย์ไปแล้ว “ไม่ว่าอย่างไร” ผู้กำกับรายนี้กล่าว “ผมก็อยากได้แบทแมนที่มีความเป็นมนุษย์อย่างถึงที่สุด รอยแผลเป็นคือความแข็งแกร่งของเขา สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาเหมาะจะเป็นคนที่ผลักดันตัวเองให้ถึงขีดสุด เพราะนั่นเป็นหนทางเดียวที่เขาจะค้นพบความหมายในชีวิตได้ แบทแมนในเรื่องนี้เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งมีพลังพิเศษคือการยอมอดทนแบกรับทุกสิ่งเอาไว้”

              ผู้อำนวยการสร้าง “ดีแลน คลาร์ก” เห็นเช่นเดียวกัน หลังจากทำงานกับรีฟส์มาหลายปี คลาร์กเข้าใจดีถึงการเล่าเรื่องอย่างสะเทือนอารมณ์ตามสไตล์ของผู้กำกับรายนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวละครที่โด่งดังอย่างแบทแมนและการรับบทบาทโดยนักแสดงอย่างแพตทินสัน “เราไม่เคยดูหนังแบทแมนที่ถ่ายทอดอารมณ์ผ่านมุมมองของแบทแมนมาก่อน” คลาร์กกล่าว “แนวทางของแมตต์น่าสนใจมาก เพราะหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวการสืบสวน เราไม่เคยได้เห็นแบทแมนเป็นนักสืบ ในเรื่องนี้เราจะได้อยู่กับแบทแมนในทุก ๆ ฉากและปะติดปะต่อเงื่อนงำต่าง ๆ ไปพร้อมกับเขา”

              นอกจากนี้รีฟส์ยังได้ติดต่อให้นักแสดงมากประสบการณ์ เจฟฟรีย์ ไรท์ มารับบทเป็น เจมส์ กอร์ดอน เสาหลักของกรมตำรวจเมืองก็อตแธม ผู้คอยต่อสู้กับความฉ้อฉล รีฟส์บรรยายว่ากอร์ดอนและแบทแมนเป็นคู่หูกันแบบเดียวกับวู้ดวอร์ดและเบิร์นสไตน์จากเรื่อง All the President’s Men เป็นชายสองคนที่ค้นหาความจริงท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการโกหกหลอกลวง

              “กอร์ดอนกับแบทแมนเป็นทีมเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องราวเวอร์ชันนี้” ไรท์กล่าว “ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากอร์ดอนเป็นคนดีโดยเนื้อแท้หรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ เขาปรารถนาที่จะเป็นคนดี เขาทนไม่ไหวกับความทุจริตเลวทรามที่ยึดครองเมืองนี้และเขาก็พยายามที่จะทำตัวให้ถูกต้อง เขาต้องการสร้างความยุติธรรมบางอย่างแต่ยังไปไม่ถึงจุดนั้น แต่อย่างน้อยเขาก็พยายาม”

              แน่นอนว่ามหากาพย์แบทแมนจะไม่มีทางสมบูรณ์หากขาดตัวละครผู้โด่งดังอย่างอัลเฟรด พ่อบ้านผู้ภักดีของบรูซและต่อมาได้กลายเป็นเหมือนพ่อของเขา แอนดี เซอร์คิส ซึ่งประสบความสำเร็จในการร่วมงานกับรีฟส์มาแล้ว ได้ก้าวเข้ามารับบทนี้ด้วยความทุ่มเทไม่แพ้ตัวละครที่เขารับบท

              “อัลเฟรดรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นผู้รอดชีวิต” เซอร์คิสกล่าว “เขารู้สึกว่าตัวเองควรอยู่ปกป้องพ่อแม่ของบรูซตอนที่ทั้งสองถูกสังหาร และเขารู้สึกว่าต้องเป็นคนรับผิดชอบ มีความตึงเครียดที่ไม่ได้เอ่ยออกมาระหว่างอัลเฟรดกับบรูซ เพราะอัลเฟรดรู้สึกว่าเขาเป็นคนผิด เขารู้จักบรูซมาตั้งแต่เกิดแล้วก็ต้องกลายมาเป็นเหมือนพ่อเลี้ยงให้เขาโดยไม่ได้ตั้งตัว แต่อัลเฟรดไม่ใช่คนแบบนั้น เขามีความเป็นทหารและไม่เก่งเรื่องการสื่อสารทางอารมณ์ มันจึงเป็นความสัมพันธ์อีกแบบที่แฝงความจริงมากมายเอาไว้”

              ฮีโร่ทุกคนล้วนเกิดมาเพื่อหยุดยั้งวายร้ายและความเสื่อมทรามในก็อตแธมก็พร้อมรับบทบาทนี้อยู่แล้ว ต้นตอหนึ่งของความป่วยไข้ในเมืองนี้ก็คือ อ็อซ หรือที่รู้จักกันในนามแฝงว่า ‘มนุษย์เพนกวิน’ นักแสดงอย่าง คอลิน ฟาร์เรลล์ ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับตัวละครเพนกวินแต่อย่างใดเลย (ทั้งร่างม่อต้อ ตัวอ้วนท้วน หรือเหนียงใต้คางแบบตัวการ์ตูน) ความท้าทายนี้เองที่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้นักแสดงรายนี้

              “ผมเห็นผลงานที่ศิลปินช่างแต่งหน้า ไมค์ มาริโน ได้สร้างสรรค์ขึ้นและหน้าตาของเพนกวินที่เขาวางแผนเอาไว้ แล้วผมก็อึ้งไปเลย” ฟาร์เรลล์กล่าว “ผมเกิดจินตนาการบรรเจิดขึ้นมาเดี๋ยวนั้นเลย เป็นครั้งแรกที่ผมได้แต่งหน้าเต็มรูปแบบและได้รับโอกาสให้รับบทบาทเป็นตัวละครแบบนี้ ผมต้องขอบคุณไมค์และทีมงาน รวมถึงขอบคุณแมตต์ที่มุ่งมั่นผลักดันตัวละครนี้ให้เต็มที่อย่างที่เราได้ทำมา”

              จอห์น เทอร์ทูร์โร รับบทเป็น คาร์มิน ฟัลโคนี เจ้าพ่อแก๊งอาชญากรใต้ดินประเภทเดียวกันกับแกมบิโน โคลอมโบ หรือแม้กระทั่งคอร์เลโอเน ฟัลโคนีอยู่ตรงจุดตัดของอำนาจในเมืองก็อตแธม เป็นจุดคุมเชิงที่ทำให้เขาตกเป็นเป้าการจู่โจมของแบทแมนและแคทวูแมน ด้วยความที่เป็นแฟนของ Dark Knight มานาน เทอร์ทูร์โรจึงสนใจเป็นอย่างยิ่งที่รีฟส์วางแนวทางของตัวละครตัวนี้ให้เป็นแบบนัวร์ขนานแท้ เขากล่าวย้ำมุมมองของผู้กำกับว่า “อย่าลืมว่านี่เป็นคอมิกสืบสวนสอบสวนนะ สมัยที่ผมซื้อมาอ่านด้วยราคา 5 เซนต์หรืออะไรเทือกนั้น เขาก็เรียกคอมิกพวกนี้ว่าคอมิกสืบสวน ผมอ่านคอมิกของแฟรงค์ มิลเลอร์ อ่าน The Long Halloween งานพวกนี้ได้รับอิทธิพลมาจาก The Godfather อย่างเห็นได้ชัดเลย และผมก็รู้จัก Godfather อย่างละเอียดถี่ถ้วนเลย อิทธิพลพวกนี้มารวมเข้าด้วยกันในระดับที่มากน้อยต่างกันไป”

              ในที่สุดเราก็มาถึงตัวละครหลักฝั่งตรงข้ามกับฮีโร่ของเรา นักฆ่าโรคจิตซึ่งรู้จักกันเพียงในชื่อเดอะริดเลอร์ คนคลั่งใส่หน้ากากรายนี้ข่มขวัญนักสืบที่เก่งที่สุดในโลกด้วยการส่งแบทแมนออกไปตามล่าหาเงื่อนงำที่กระจายอยู่ทั่วแวดวงใต้ดินของก็อตแธม พอล ดาโน สุดยอดนักแสดงมากฝีมือ มารับบทเป็นวายร้ายผู้โหดเหี้ยมรายนี้ได้อย่างน่าสะพรึงกลัว

              “สำหรับผมแล้วเส้นแบ่งที่เลือนรางระหว่างแบทแมนกับเหล่าวายร้ายนั้นทรงพลังเสมอ” ดาโนกล่าว “ผมคิดว่าแมตต์อาศัยประโยชน์จากแง่มุมนี้และกล้าที่จะขุดค้นให้ลึกลงไป ฮีโร่กับวายร้ายอาจฟังดูเหมือนการแยกขั้วเป็นสีดำกับสีขาว แต่ที่จริงแล้วก็มีส่วนที่เป็นสีเทาอยู่มากเหมือนกัน แบทแมนและวายร้ายต่างก็ถือกำเนิดขึ้นมาจากโลกใบนี้ ผมคิดว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัวละครเหล่านี้ทรงพลังและสะท้อนถึงจิตสำนึกร่วมของคนเรามาอย่างยาวนาน”

              ประเด็นนี้เองที่ผลักดันวิสัยทัศน์ของรีฟส์ให้ไกลยิ่งกว่าเดิมจากการสร้างสรรค์โลกแบบนัวร์ซึ่งความมืดมิดเข้าปกคลุมทุกสิ่ง ตัวละครแบทแมนอาจไม่ได้เป็นซูเปอร์ฮีโร่มากเท่ากับที่เป็นหมาป่าตัวหนึ่งซึ่งได้พบหมาป่าตัวอื่น ๆ ในโลกภายนอก เป็นเงาที่แฝงเร้นอยู่ในเงา เช่นเดียวกับเจมส์ กอร์ดอน เขาไม่ได้เป็น “คนดี” โดยเนื้อแท้แต่เป็นคนที่พยายามรักษาความดีไว้ท่ามกลางกระแสคลื่นแห่งความเสื่อมทราม เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นและรีฟส์สั่งเลิกกองคืนนี้ ดาโนก็ยืนยันแนวคิดนี้ด้วยประโยคที่เรียบง่ายทว่าเป็นแก่นสาร “วายร้ายใส่หน้ากาก แต่แบทแมนก็ใส่หน้ากากเหมือนกัน”

Related posts