หนังดีติดดาว***

หนังดีติดดาว***

            ตำนานการผจญภัยยังคงดำเนินต่อ เมื่อผู้สร้างภาพยนตร์เจ้าของรางวัล เดอนี วีลเนิฟว์ ร่วมงานในเรื่อง “DUNE ดูน: ภาคสอง” ผลงานภาคต่อจากนิยายเรื่องดังของแฟรงค์ เฮอร์เบิร์ท ดูน พร้อมด้วยทีมนักแสดง ทิโมธี ชาลาเมต์, เซนเดย์อา, รีเบ็คก้า เฟอร์กูสัน, จอช โบรลิน, ออสติน บัตเลอร์, ฟลอเรนซ์ พิวห์, คริสโตเฟอร์ วอลเคน, เลอา เซย์ดูย์, สเตลแลน ซาร์สการ์ด และ ฮาเวียร์ บาร์เดม ผลงานภาพยนตร์จาก วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และ เลเจนดารี่ พิกเจอร์ส

              DUNE 2 หนัง ภาคต่อ ที่ต่อเนื่องมาจาก ภาคแรก ปูบทภาพยนตร์มาได้เข้าใจไม่มาก ต้องคนดูภาคแรก มาแล้วถึงเข้าใจเรื่องราวเป็นอย่างดี ฉากการต่อสู้ ยิงกันทำได้สะใจเยอะกว่าภาคแรก ภาคแรกปูเรื่องก่อน แต่บรรยากาศ สภาพแวดล้อมที่มักจะเป็นผืนทะเลทรายแห้งแล้ง ดูฝุ่นเยอะ ๆ มองไม่ได้คมชัดเท่าไหร่ ซึ่งทำให้ดูแล้วเหมือนดูภาพหนังเก่าหน่อย สำหรับเนื้อเรื่องซับซ้อนน้อยกว่า ภาคแรก ค่อนข้างเน้นเดินเรื่องราวพอควร และก็ยังมีฉากต่อสู้ มาให้ปะทะกันอยู่เรื่อย ๆ ดูสนุก มันกว่าภาคแรก เครื่องแต่งกาย ยานรบ ทำออกมาได้ละเอียดดี งานดีไซน์ใช้วัฒนธรรมที่หลากหลาย แต่แอบมีความเชื่อ ศรัทธา แบบ คนมุสลิมมากพอควร ส่วน ทีมนักแสดงทุกคนเล่นได้ดีเข้าถึงตัวตนของแต่ละตัวละครมาก ๆ ถ้าดูในจอ IMAX แม้จะไม่ใช่ 3D แต่ให้บรรยากาศสุดลูกหูลูกตา ของผืนทะเลทราย ได้เต็มที่มาก

ติดให้ *** ครึ่ง

000

              คำถามจากภาพยนตร์เรื่อง “DUNE 2” : ทิโมธี ชาลาเมต์ รับบทเป็นใครในเรื่อง?

ทราบคำตอบเขียนชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทร. พร้อมคำตอบให้ชัดเจนลงไปรษณียบัตรส่งมาที่

คอลัมน์ “หนังดีติดดาว” 32/15 ซ.ลาดพร้าว 23 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

ผู้ที่ตอบถูก 3 ท่านจะได้รับของรางวัลจาก “วอร์เนอร์ บราเดอร์ส” (ขอบคุณสนับสนุนของรางวัล)

000

            “Dog Days ด็อกเดย์ สี่ขาว้าวุ่น” เล่าถึงหลากความสัมพันธ์สุดว้าวุ่นของ “เหล่า’ นุดเจ้าปัญหา” กับ “แก๊งน้อนหมาสุดป่วน” ที่จะมามอบเสียงหัวเราะและความอบอุ่นใจ ดูแล้วจะเห็นคุณค่าของทุกความสัมพันธ์มากขึ้น

              Dog Days เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวของผู้คนกลุ่มหนึ่งที่มีความเชื่อมโยงในความสัมพันธ์ระหว่างกัน โดยมีสุนัขเป็นตัวกลางในการเชื่อม หนังมีความอบอุ่นหัวใจในการเล่าเรื่อง ไม่ว่าตัวละครจะทุกข์ สุข เศร้า ซึม ก็จะมีอารมณ์ร่วมไปด้วย ตัวละครหลัก ๆ มีพัฒนาการที่เห็นได้ชัดเจนว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดีเมื่อหนังจบลง ดูแล้วรู้สึกเป็นแนว feel good ตั้งแต่ต้นจนจบ

 ติดให้ **** ครึ่ง

000

            ไร้ท์ บิยอนด์ ส่ง 3 ซูเปอร์สตาร์จีน-ฮ่องกง “หลิวเต๋อหัว”  ปะทะแอ็กชันสตาร์ “จางฮั่นหยู”  และดาวรุ่งดวงใหม่ “หวงซวน” (จาก Legend Of The Demon Cat – ตำนานอสูรล่าวิญญาณ) มาประชันบทบาทกันในภาพยนตร์แอ็กชันฟอร์มยักษ์ Moscow Mission – ภารกิจท้านรก” ที่ว่าด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1993 เมื่อมีการปล้นด้วยอาวุธรุนแรงขึ้นหลายครั้งบนรถไฟระหว่างประเทศที่เชื่อมต่อระหว่างกรุงปักกิ่งและกรุงมอสโก ซึ่งเป็นเส้นทางการติดต่อสื่อสารทางบกสายหลักเพียงสายเดียวของจีนและยุโรปในสมัยนั้น โดยการกำกับฯ ของ “เฮอร์แมน เหยา”

             เล่าเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริง หนังแบ่งตัวละครออกเป็นสองฝั่ง คือ ฝั่งผู้ร้าย ที่วางแผนการโจรกรรม และฝั่งตำรวจ ที่คอยติดตามไล่ล่า โดยตัดสลับมุมมองกันไปตลอดทั้งเรื่อง ดูแล้วรู้สึกเหนื่อยกับจังหวะการเล่าเรื่องที่เล่นใหญ่เล่นเยอะเล่นรุงรัง แต่ถ้ามองผ่านความยุ่งเหยิงเหล่านี้ไปได้ เนื้อเรื่องจริง ๆ มันสนุกมาก และมีประเด็นให้ติดตาม มีอะไรให้คอยลุ้นเกือบตลอดทั้งเรื่อง ส่วนนักแสดงเล่นได้ดีทุกคน

ติดให้ *** ครึ่ง

000

            “แม่ณุน” (The Dark Mother) หรือชื่อกัมพูชาว่า ម៉ែក្រឡាភ្លើង สร้างโดย “Sastra Film” กำกับโดย “Kou Darachan” นำแสดงโดย “Seng ChanLaiee, Hong Voleak, Keo Sao Piset, Vannak Sokhavirak Yuth, Thul Makara” เป็นตำนานสยองขวัญที่เล่าขานมานับร้อยปีของประเทศกัมพูชา กล่าวถึงความรักของแม่ ยิ่งใหญ่เกินกว่าสิ่งไหน แม้ความตายก็ไม่อาจพรากแม่ไปจากลูกได้ พล็อตคุ้นเหมือนเคยดู คล้ายตำนานของบ้านเรา

               แม่ณุน เป็นหนังที่ว่าด้วยความสัมพันธ์และความรักของแม่ที่มีต่อลูก ท่วงท่าและลีลาในการเล่าค่อนข้างอึดอัดและยืดยาดจนเกินความจำเป็น หนังมีความคล้ายคลึงกับ แม่นาคพระโขนงของเราอยู่พอสมควร แต่หนังเลือกที่จะเล่าเรื่องราวไปอีกทางหนึ่ง ก็เลยเป็นรสชาติที่แปลกใหม่สำหรับตำนานที่คุ้นเคย

ติดให้ *

000

              “พี่นาค 4” ผลงานกำกับภาพยนตร์โดย “ไมค์-ภณธฤต  โชติกฤษฎาโสภณ” ที่ส่งความสยอง วิ่งกระเจิงภาพยนตร์ไทยไตรภาคใหม่ อำนวยการสร้างโดย บริษัท ไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น จำกัด นำแสดงโดย มีน-พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร, เอม-วิทวัส รัตนบุญบารมี, เจมส์-ภูริพรรธน์ เวชวงศาเตชาวัชร์, ต้า-อธิวัตน์ แสงเทียน, นนท์-อินทนนท์ บุญชื่น, กาโตว์-ปัณณวิชญ์ พัฒนศิริ, มินตัน-มินตรา เชื้อวังคำ, จัสติน เบนเน็ท  กับพี่นาค 4 ภาคนี้ ภายใต้หน้ากากสยอง… ผีพี่นาคตนนี้คือใคร? บาปและกรรมหนักแค่ไหนถึงอยากให้ตายตกไปตามกัน? นี่คือจุดเริ่มต้นของตำนานพี่นาคอีกบท

            หนังภาคต่อที่ทำมาต่อเนื่อง ในภาคนี้เป็นปมในใจของวิญญาณร้ายที่ถูกบูลลี่จากคนรอบข้าง ทำให้คนดูสามารถรู้สึกอินกับบาปที่ก่อได้มากขึ้น เพราะคงจะมีบ้างในชีวิตเราและยังมีอยู่ทุกวันนี้ ที่เคยบูลลี่คนอื่น ทำให้รู้สึกได้ว่าเป็นบาปกรรม ที่ก่อได้ง่ายและใกล้ตัวมาก หนังยังคงเสน่ห์ของนักแสดงที่มีเพศทางเลือกที่พร้อมจะสร้างบรรยากาศสนุกสนานเฮฮา ทำให้หนังมีครบทุกรสชาติหลากหลายอารมณ์ ไม่ได้แค่น่ากลัวอย่างเดียว ที่สำคัญ คือ ทำให้แต่ละอารมณ์ในหนังทำออกมาได้อย่างผสมผสานพอดิบพอดีลงตัว ในส่วนของ ผีนาค นั้น ภาคนี้ดูสภาพน่ากลัวน้อยกว่าภาคก่อน ๆ มีความคล้ายคนมากกว่าเป็นผีในบางฉากด้วย แต่ก็ยังชวนดูขนลุกจากหน้ากากที่ปิดบังใบหน้า จังหวะตกใจ ทำได้ดีเหมาะเจาะ แต่บางฉากก็ดูเสียงดังมาก น่ารำคาญไปหน่อย ถ้าจะทำอีกก็ได้เรื่อย ๆ นะถ้ามีพล็อตดี ๆ

ติดให้ ***ครึ่ง

000

            “ปิดเมืองล่า PATTAYA HEAT” ท่ามกลางเมืองใหญ่ริมชายฝั่ง ที่เต็มไปด้วยแสงสี “ทศ” (ก๊อต จิรายุ ตันตระกูล) นักฆ่ามือฉกาจของแก็งค์อันธพาลที่พ้นโทษออกมาไม่นาน แต่ชีวิตก็นำพาไปสู่ด้านมืด ยังคงวนเวียนกับการล้างแค้น โดยมี “จ่าชัย” (เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์) นายตำรวจใกล้เกษียน แพ้พนันที่บ่อน จึงจำใจขายปืนลูกโม่ทองคำให้กับ “ไซม่อน” (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) เจ้าพ่อธุรกิจเถื่อนที่หลอกใช้จ่าชัยมาช่วยขนส่งทองคำจากกรุงเทพฯ ไปที่พัทยาจนทำให้เกิดเรื่องให้ต้องล่า “หก” (น้อย พรู) นักฆ่ามือดี อดีตลูกน้องไซม่อน ถูกขับออกจากแก็งค์ พร้อมบทลงโทษที่แสนเจ็บปวด และเฝ้ารอวันล้างแค้น โดยร่วมมือกับ “จี” (พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) หมอดูไพ่ทาโร่ลึกลับ ผู้เลอโฉมแต่เปี่ยมด้วยแผนซ้อนแผนสุดจะคาดเดา จากความโชคร้ายที่เธอประสบในสมัยวัยรุ่น ทำให้ชีวิตของจีปลี่ยนไป!

            หนังทำออกมาได้โหดเหมือนจริงดีมาก บรรยากาศในหนังทำออกมาดูสวย ไม่มืดจนเกินไป ฉากและมุมกล้องต่าง ๆ เลือกทำได้เหมาะสมไม่เวอร์ เนื้อเรื่องดำเนินได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลและดูสนุก บทภาพยนตร์ดีเลยดูแล้วไม่งง เข้าใจเป็นบทเป็นตอน ๆ ไป ส่วนนักแสดงทุกคนนั้นเล่นได้ยอดเยี่ยมตามบทแต่ละคนได้รับ ไม่มีใครขโมยซีน ทุกคนรวมฝีมือใส่กันเต็มที่แต่ดูเป็นธรรมชาติมาก สำหรับบาดแผลฉากต่อสู้ดูไม่เวอร์เกินไป ทำออกมาได้เหมือนจริง สรุปดูสนุกคนไทยไปดูกันเยอะ ๆ

ติดให้ *** ครึ่ง

000

            “เอ็ม สตูดิโอ” นำเสนอภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ผลงานสร้างของ เอ็มเพอเรอร์ โมชั่น พิคเจอร์ส  เรื่อง “ยอดพยัคฆ์ชน คนมือทอง The Goldfinger”  กับการกลับมาพบกันอีกครั้งในรอบยี่สิบปีของ 2 ซุปเปอร์สตาร์แห่งเอเชีย “เหลียงเฉาเหว่ย” และ “หลิวเต๋อหัว” ซึ่งเขียนบท และกำกับภาพยนตร์โดย “เฟลิกซ์ ชอง” (ผู้เขียนบท “Infernal Affairs”ทั้ง 3 ภาค)

            หนังทำออกมาแนวลูกเล่นการลงทุน กับวิธีการปั่นราคาหุ้น การดีลทำงานเป็นทีม ในขณะที่เจ้าหน้าที่ก็ต้องตามสืบสวน เรื่องราวทำได้สลับซับซ้อนดียิ่ง แต่ต้องเป็นคนเข้าใจระบบการเงินดีระดับนึงหน่อยถึงดูแล้วเข้าใจ ไม่งง เพราะเนื้อเรื่องเดินเร็วมาก ถ้าคนไม่เข้าใจ อาจจะงง ๆ ไม่อินเท่าไหร่ก็ได้ มาที่นักแสดงนำทั้งสองเล่นได้ดีมาก ๆ เฉือดกันทั้งอารมณ์ แววตา ทำให้อินกับการแสดงของพวกเขา ส่วนนักแสดงประกอบก็เล่นได้สมบทบาท เนื้อเรื่องค่อนข้างตึงเครียดนะ ทีมพากย์ไทยแทบหาจังหวะตลกแทรกได้น้อยมากทีเดียว กับภาพบรรยากาศฉากในหนังก็ทำได้ย้อนยุคสมัยพาให้ย้อนไปในสมัยนั้นได้ดี

ติดให้ ***

000

              “มงคลเมเจอร์” ขอพาทุกคนย้อนเวลาสู่ยุคมืดไปเปิดหน้า “ผีสิงผี” ว่ามันคือตัวอะไร? BAGHEAD ผีสิงผี” โดยผู้กำกับ อัลเบอร์โต กอร์รีดอร์ ที่มีนักแสดงนำอย่าง เฟรยา อัลลัน กับ เรื่องราวของหญิงสาวที่ได้รับมรดกตกทอดของพ่อเป็นอสุรกายลึกลับที่เปลี่ยนสภาพเป็นคนตายได้ คืออสุรกายลึกลับที่ถูกเล่าขานมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล ตัวกลางระหว่าง “โลกคนเป็น” และ ”โลกคนตาย” มีพลังในการปลุกคนตาย

              เป็นหนังที่ขายคอนเซปต์ที่ว่าด้วยความสยองขวัญที่มีการวางเงื่อนไขและกฎกติกาบางอย่างไว้ให้ตัวละครต้องวิ่งวนไปมาอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกจำกัดและโดนตีกรอบ ก็เลยอาจจะทำให้ความคิดและการกระทำของตัวละครหลักดูไม่เข้าท่าเข้าทางอยู่บ้าง แต่ก็นั่นแหละหนังสยองขวัญ มันก็ใช้ความเขลาความเบาปัญญาของตัวละครในการเดินเรื่องอยู่แล้วนะ  หนังสร้างบรรยากาศผ่านโลเคชั่นที่มีอยู่แค่ไม่กี่แห่งบวกกับแสงเงาและการถ่ายภาพที่ทำให้ได้โลกขนาดเล็กที่ดูอึดอัดและไม่น่าไว้วางใจออกมาให้ตัวละครได้ลงไปอยู่และพยายามแก้ปัญหาเพื่อเอาตัวรอด เส้นเรื่องที่ต้นฉบับเป็นหนังสั้นแล้วต้องเอามาขยายความให้ได้เป็นหนังยาวขนาด 1 ชั่วโมง 30 กว่านาที ก็เลยทำให้มีบางช่วงที่ย้วย ๆ และยืดอยู่บ้าง แต่ความสยองขวัญมีอยู่บ้างช่วงแรก แต่จะค่อย ๆ จางหายไปเมื่อผ่านครึ่งเรื่องไปแล้ว เพราะครึ่งหลังจะมีความเป็นระทึกขวัญเข้ามาแทนที่ จนเมื่อหนังจบนั่นแหละถึงได้รู้และเข้าใจว่าทำไมต้องวางเงื่อนไขต้องตีกรอบ เพราะหนังหยิบเอาสิ่งที่วางและครอบไว้มาใช้ได้อย่างดีเยี่ยมในช่วงท้ายนั่นเอง

ติดให้ *** ครึ่ง

000

Related posts