เที่ยวให้สุดสตอกโฮล์ม 3 วันสุดท้าย EP 3

สกู๊ปพิเศษ โดย…ยอดเยาวพา

ลากกระเป๋ามาขึ้นรถเมล์โดยชำระด้วย SL 3 ที่ซื้อเพิ่มวันนี้เพื่อนั่งเข้าเมือง เมื่อถึงจุดหมายก็เดินลากกระเป๋าไปเรื่อย ๆ เร่งไม่ได้เป็นทางขึ้นเนินจนเดินมาถึง UNIQUE HOTEL เป็นที่พักแห่งที่ 3 และที่สุดท้ายอีก 3 คืนในสตอกโฮล์ม ที่เลือกพักที่นี่เพราะมีอาหารเช้าไม่ต้องไปหาทานข้างนอก พอถึงโรงแรมก็มีผู้หญิงน่าจะเป็นเจ้าของเพราะจากที่พัก 3 คืนเธอจะอยู่ช่วงเช้าแต่พอตกกลางคืนจะมีวัยรุ่นผู้หญิงอยู่แทน ก็เช็กอินตามขั้นตอนปกติ เพียงแต่ตอนแรกเจ้าหน้าที่ให้ฝากกระเป๋าเพราะยังไม่ถึงเวลา 15.00 น.  ทว่าพอนั่งพักขาและถ่ายรูปบรรยากาศของโรงแรมมีชั้นหนังสือน่ารักดี นั่งไปนั่งมาห้องทำความสะอาดเสร็จก็ได้เช็กอินก่อนเวลา โดยลิฟต์ที่นี่ถึงชั้นห้องพักเลย ที่ต้องบอกเพราะบางแห่งไม่ถึงห้องพักก็มี ดังนั้นควรถามและระบุความต้องการ อย่างเราระบุลิฟต์และหน้าต่างต้องมีเนื่องจากมาช่วงหน้าหนาวแอร์ไม่ทำงานเพราะอากาศเลขตัวเดียว สำหรับเราหน้าต่างเปิดได้เป็นสิ่งจำเป็นในการหายใจสะดวก ลิฟต์ที่นี่คล้ายในหนังที่เห็นคือจะมีประตูทึบปิดอีกชั้นเก๋ดี

        ครั้นเข้ามาภายในห้องสิ่งแรกที่สำรวจคือหน้าต่าง เพราะระบุตอนจองว่าต้องการหน้าต่างที่เปิดได้ ก็มีหน้าต่างบานใหญ่ 3 บานเปิดได้ทุกบาน แต่ตรงข้ามเป็นห้องของคนที่นั่น ทำให้เวลาเปิดหน้าต่างหากเปลี่ยนเสื้อผ้าต้องระวังคนตรงข้ามเขาจะตกใจทว่ามีม่านทึบให้ปิดด้วย  หลังจากใช้เวลาทำธุระส่วนตัวพร้อมสำรวจห้องที่มีกาแฟ นมสด และทุกอย่างให้บริการคล้ายโรงแรมเรียบร้อยก็ตั้งใจไว้จะไปสถานีรถไฟใต้ดิน T-CENTRALEN อยู่ที่เดียวกับห้าง AHLENS CITY ก็เดินกันเอื่อย ๆ แต่ระหว่างนั้นก็ลองวัดระยะจากโรงแรมไปสถานี Arlandda Express วัดเพื่อจะได้รู้ว่าต้องใช้เวลาเดินเท่าไหร่เพราะต้องนั่งไปสนามบิน จากที่จับเวลาแบบคิดว่าต้องลากกระเป๋าใช้เวลา 10 นาที หนำซ้ำด้านหน้าก่อนเข้าสถานีมีร้าน MAX เบอร์เกอร์ที่มีหลายสาขาในสตอกโฮล์ม จากสั่งจากตู้อัตโนมัติถือว่าใช้ง่ายกว่าตู้สั่งของ Burger King ด้วย

        หามื้อกลางวันด้วยการสั่งเบอร์เกอร์ของ MAX คนละชิ้น ๆ เล็กอิ่มแถมราคาไม่แพงชิ้นละ 17 กับ 20 sek ที่เลือกมา ซึ่งขณะนั่งรออาหารในร้านดูสะอาด โปรงสบายตา อีกทั้งมีการก่อสร้างห้องน้ำเพื่อบริการลูกค้า สังเกตช่างที่นั่นหุ่นต่างจากช่างไทยบ้านเราเพราะพวกเขาหุ่นล่ำกว่า  หลังจากทานเบอร์เกอร์เสร็จก็ออกเดินต่อไปยังสถานี T-CENTRALEN เพื่อนั่งรถราง หรือ TRAM สุดสายชมเมืองตามแพลนที่วางไว้

        ยืนรอไม่นานเมื่อขึ้นรถก็มีที่ว่างให้นั่ง ถามความรู้สึกนั่งรถ TRAM ครั้งแรกตื่นเต้นมาก ภายในรถโอ่อ่า สะอาด คนเก็บค่าโดยสารก็ใส่สูทแต่งตัวดี เราเปิดแอป SL ให้พนักงานเก็บค่าโดยสารสแกน ต่างจากขึ้นรถเมล์ เรือที่เป็นฝ่ายสแกนเองถือว่าการชำระค่าโดยสารสาธารณะง่ายทีเดียว ขณะนั่งก็เก็บภาพบรรยากาศตลอดเส้นทางที่ผ่าน อาทิ ผ่าน Vasa Museum, ผ่านสวนสนุก Gröna Lund (โกรนา ลุนด์) และผ่าน SKANSEN  กระทั่งรถจอดสุดป้ายบริเวณเทียบท่าเรือเราก็ลงไปเก็บภาพความสวยงามโดยรอบอย่างมีความสุขพร้อมยิ้มไม่หุบ พอเก็บภาพจนอิ่มหนำใจแล้วก็กลับขึ้น TRAM คันเดิม (คนขับกับพนักงานเก็บตั๋วมองพวกเราลงไปถ่ายรูปแล้วกลับขึ้นรถก็เข้าใจแหละเป็นนักท่องเที่ยว) ที่นั่นทำงานตามเวลาจริง ๆ ขากลับพอรถออกตัวคนเก็บตั๋วก็เปลี่ยนกะเห็นจากถอดสูทสีดำมาสวมฮูดสะพายเป้แทน เพื่อคนเก็บตั๋วคนใหม่มาเข้ากะต่อเราเปิดแอป SL ให้เขาสแกนแบบขามาก่อนนั่งรถกลับเข้าเมือง

        ใช้เวลาขาไปขากลับไม่นานก็ถึงสถานี T-CENTRALEN เราอดแวะ NORMAL ไม่ได้ จะบอกว่าที่นี่จะมีของลดแปลก ๆ ต่างจากซูเปอร์มาร์เก็ตวันนี้ก็ได้เสียเงินอีก จากนั้นเดินกลับที่พักก็ผ่าน MAX สาขาที่นั่งทานคราวนี้ซื้อกลับไปทานที่โรงแรม เดินเลยมาเจอ BURGER KING เลยซื้อกลับเพื่อดวลรสชาติกันเลย ซึ่ง BURGER KING รสชาติไม่ค่อยต่างจากไทยเท่าไหร่นัก ทว่ากว่าจะถึงโรงแรมก็แวะ 7-ELEVEN  บอกตรง ๆ ตั้งแต่เข้า 7-ELEVEN มาหลายแห่ง พนักงานสาขานี้คล้ายบ้านเราตรงยิ้มแย้ม ประทับใจจริง ๆ  จากนั้นก็เดินเรื่อย ๆ จนถึงโรงแรมแต่เลยเวลา 18.00 นาฬิกาเป็นเวลาล็อกประตูของโรงแรมแล้วแต่ไม่ต้องกังวลเพราะมีรหัสที่เจ้าหน้าที่ให้มาเลยเข้าที่พักอย่างสะดวกไร้กังวล

        ในเช้าวันที่ 9 และเป็นวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ของการเที่ยวอย่างมีความสุข สนุกและไม่กลัวโดนจี้ปล้นเวลากลับเข้าที่พักมืดค่ำ เช้านี้มีโปรแกรมไปเที่ยวแต่ขอทานอาหารเช้าของโรงแรมให้อิ่มก่อนจะได้มีแรงตะลอนพร้อมใช้พลังในการเดิน สำหรับอาหารเช้าโอเค รู้สึกประทับใจเชฟพอเห็นเราหน้าเอเชียก็ถามว่าจะทานได้ไหม? คุณสามีชมว่าอาหารน่าทาน พาเชฟยิ้มเลย จากนั้นก็เดินสำรวจก่อนตักอาหาร หากแต่ที่นี่ทำแพนเค้กแผ่นบาง ซึ่งไม่ชอบมันออกแนวแป้งโรตีทานคู่สายไหมอยุธยาแบบนั้น ครั้นสังเกตอาหารเช้าแต่ละแห่งขาดไม่ได้คือชีสและไข่ต้ม นอกนั้นไม่ค่อยต่างจากอเมริกันเบรคฟาสต์ที่เคยทาน แต่ที่สะดุดตาคือที่กดน้ำส้ม น้ำสับปะรดและน้ำเปล่าไฮเทคดียังถ่ายเป็นวีดีโอเก็บไว้ดู มันไฮเทคจนฝรั่งสูงวัยบางคนกดไม่เป็น เราเองก็อาศัยส่องคนข้างหน้าเลยกดถูก 555 

        เมื่ออิ่มท้องแล้วก็ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวออกเที่ยวกัน ขณะเดินไปก็ตั้งใจว่าจะซื้อเบอร์เกอร์ร้าน MAX ติดไปเป็นมื้อกลางวันเพราะวันนี้ไปเที่ยวนอกเมือง ซึ่งจะไปที่ NATURHISTORISKA RIKSMUSEET ขณะนั่งรถเมล์ระหว่างทางมีนักเรียนชั้นประถมขึ้นมากันเต็มรถเลย ครูคงฝึกน้อง ๆ ให้แกร่งเพราะไม่มีผู้ใหญ่ลุกให้นั่ง แล้วคิดว่าพวกน้อง ๆ น่าจะไปลงที่เดียวกันก็จริงดังคาด จากที่ดูเมื่อลงจากรถครูผู้ชายเป็นหัวหน้าก็ฝึกเด็กไม่ให้แตกแถว ไม่ให้ซุกซนดูเป็นระเบียบ  เมื่อถึงพิพิธภัณฑ์เราก็เข้าไปซื้อบัตรชมโดยรวมค่ากิจกรรมเป็นสารคดี T-REX ดูผ่านจอ IMAX เราเลือกเวลาเที่ยงครึ่ง ซึ่งแต่ละรอบเวลามีเรื่องราวของสัตว์แต่ละชนิดไม่ซ้ำกัน โดยรวมค่าเข้าชมพร้อมค่าชม T-REX คนละ 250 sek ถือว่าไม่แพงเพราะวันนั้นมีโรงเรียนพานักเรียนมาชมกันหลายโรงเรียนเลย

        แต่ก่อนเข้าชมให้ลงไปชั้นล่างซึ่งเป็นชั้นเดียวกับร้านอาหารจะมีห้องฝากเสื้อโค้ด และเป็นห้องน้ำด้วย คือตั้งใจจะหาห้องน้ำเพื่อจะได้ไม่ปวดเวลาเดินชม หลังเก็บเสื้อโค้ดแล้วทานเบอร์เกอร์ให้อิ่มท้องก็กลับขึ้นไปเดินชมความงดงามของบรรดาสัตว์ดึกดำบรรพ์ อาทิ จิ้งจอก กวาง หมี เสือดาว ช้างแมมมอธ บรรพบุรุษของเราก็คือ ลิง นั่นเอง และก็มีโครงกระดูกปลาวาฬ ไดโนเสาร์ ถือเป็นเรื่องดีที่ทางโรงเรียนนำนักเรียนมาดู เพราะจากไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์มักเห็นโรงเรียนหรือพ่อแม่ให้ความสำคัญพาน้อง ๆ มาดูเพื่อการเรียนรู้ ซึ่งหลังจากดูสารคดี T-REX บนจอ IMAX ภาษาอังกฤษจบ โดยเป็นเชิงสารคดีเพื่อให้ความรู้อีกแบบที่ทำออกมาดีทีเดียวแต่อย่าคิดว่าจะเหมือนหนังจูราสสิคที่ดูไม่ใช่  เมื่อดู T-REX จบออกจากพิพิธภัณฑ์ก็มารอรถเมล์คนละฝั่งกับขามาเพื่อเข้าเมื่อ แต่มีโปรแกรมไปสะพานมงกุฎที่เมืองเก่า

เมื่อไปถึงอากาศเย็นสบายขณะถ่ายกับสะพานหน้าก็โต้ลมหนาวจนน้ำตาไหลราวซาบซึ้งบรรยากาศซะอย่างนั้น แชะภาพบริเวณสะพานมงกุฎหลายแอ็กมาก มองไปฝั่งตรงข้ามพาคิดถึงเพื่อน ๆ อย่าง บัณฑิตกับ  BOZLUR เพราะมองไปเห็นโรงแรมที่เราพักไกล ๆ พอถ่ายภาพจนอิ่มเอมใจแล้วก็พากันเดินมาเรื่อย ๆ เจอพิพิธภัณฑ์ที่เห็นแต่ไม่ใช่จุดหมายทว่าอยากเข้าเพื่อไปหาห้องน้ำเพราะคิดว่าต้องมีแหละ แต่ต้องลงบันไดไปหลายขั้น ซึ่งทุกคนก็พากันมาเข้าคงเป็นคนแถวนั้นที่รู้ ไหน ๆ ก็เข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้วเลยเดินเล่นในพิพิธภัณฑ์ดูของที่วางขาย แล้วต้องประหลาดใจเมื่อเจอเยลลี่ผสมเหล้าที่เราตามหาแถมราคาดันถูกกว่าที่ซื้อขวดละ 170 แต่ในพิพิธภัณฑ์ขาย 150 sek แต่ดีที่ไม่ใช่รสเหล้าที่ต้องการไม่เช่นนั้นคงหงุดหงิดน่าดูเพราะอยู่ใกล้เดินจาก Hotel Reisen มาไม่ไกลเลย การเที่ยวแบบง้อทัวร์มันดีหลายอย่างคือ เราอยากแวะที่ไหนนาน ๆ ก็ได้ หรือจะกลับไปซื้อของที่ ๆ ผ่านมาซ้ำหลายหนก็ได้และเก็บตกที่ ๆ ยังไม่ได้ไปได้ไม่เหมือนมากับทัวร์จากที่เห็นมีทัวร์จีนมาลงแต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้แวะนาน

        ครั้นจบจากชมสะพานมงกุฎแล้วก็ไปต่อที่รัฐสภา ถือว่าโชคดีเปิดไฟสว่างไสวสวยงามเลยได้ภาพสวย ๆ มาเป็นเป็นความประทับใจในทริปนี้  พอเก็บภาพรัฐสภาอิ่มหนำคุณสามีผู้นำทริปหาที่เที่ยวได้ที่ WILLY SUPERMARKET ก็นั่งรถใต้ดินใช้เวลาไม่นานเท่าขากลับที่ลองเปลี่ยนนั่งรถเมล์กลับทว่าได้เห็นวิวเมืองในย่านชานเมืองซึ่งแปลกตาไปอีกแบบ ก็จะประมวลภาพซูเปอร์มาเก็ตที่ไปเข้ากันและยอดฮิตของคนที่นั่นใน ep นี้ด้วยเพื่อปิดทริปการชอปและเที่ยวอย่างสุดมันส์ เพียงแต่ต้องอั้นซื้อของกลับเพราะน้ำหนักกระเป๋าเกินแล้ว 

        วันนี้เป็นวันที่ 6 พฤศจิกายน และเป็นวันที่ 10 ของการเที่ยวที่สตอกโฮล์มวันสุดท้าย พวกเราหลังทานอาหารเช้าเสร็จก็กลับขึ้นห้องมาเพื่อเก็บของลงกระเป๋าพร้อมกับช่างน้ำหนักว่าสามารถใส่อะไรลงไปได้อีกไหม  เมื่อจัดการเก็บของลงกระเป๋าเรียบร้อยก็ตัดสินใจจะไปย่านย่าน เซอเดร์มัลม์ (Sodermalm) ของสตอกโฮล์ม ที่อยากไปเพราะวันนี้คุณสามีเอาข่าวการเสียชีวิตของ “บียอร์น โยฮัน อันเดรเซน (Björn Johan Andrésen)” ซึ่งเป็นนักแสดงและนักดนตรีชาวสวีเดนผู้โด่งดังจากบทบาท “ทัดซิโอ” ในภาพยนตร์เรื่อง Death in Venice (ปี 1971) และได้รับฉายา “เด็กชายที่สวยที่สุดในโลก” หนำซ้ำนัยน์ตากลมโตสวยหวานของนักแสดงท่านนั้นเป็นต้นแบบของการ์ตูนเรื่องฮิต “กุหลาบแวร์ซายส์” หากแต่ก็ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของเขาเพราะถูกมองว่าเป็นเกย์  บียอร์น โยฮัน อันเดรเซนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ในวัย 70 ปี ซึ่งในวันที่เขาเสียชีวิตเรายังอยู่ที่สตอกโฮล์มพอดีจึงตั้งใจจะไปดูสถานที่สุดท้ายที่นักแสดงท่านนั้นเสียชีวิ

        ออกจากห้องมาเจอฝนตกเลยพากันกางร่มขณะยืนรอรถเมล์ซึ่งใช้เวลานานจากดูแอป รอจนหิวและฝนเริ่มตกหนักเลยจำต้องเปลี่ยนแพลนเดินจากป้ายรถเมล์ไปหาของทานเพราะบ่ายแล้วเลยได้ฝากท้องกันที่ ICA SUPERMARKET ซื้อขนมปังกับนมมานั่งทาน เป็นครั้งแรกที่เห็นในซูเปอร์มาเก็ตมีที่ให้ลูกค้านั่งเราเลยยึดพื้นที่กันอยู่นานมากกว่าจะออกไปหาที่เที่ยวต่อ แต่ก่อนจะออกไปก็สังเกตเห็นคนที่ชอปเสร็จมักมาหยิบถุงกระดาษที่วางไว้เป็นตั้ง ๆ เลยใช้เครื่องแปลภาษาเลยรู้ว่าเขาให้หยิบฟรี เลยหยิบมาใส่ของที่ซื้อ 1 ใบ และเห็นคนที่ออกจากซูเปอร์มาหยิบกลับไปใช้ที่บ้านเป็นปึก ๆ เพราะเป็นถุงที่ไม่ก่อมวลพิษ

หลังออกจากซูเปอร์มาร์เก็ตก็เดินเที่ยวเก็บบรรยากาศแถวนั้นเพราะยังไม่เคยเดิน จนกระทั่งกลับโรงแรมมาเก็บของแล้วออกไปอีกทีตอนหกโมงเย็นเพื่อชอปของฝากในวันสุดท้ายในสตอกโฮล์ม

        และในเช้าวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 และเป็นวันที่ 11 ของการเดินทางกลับเมืองไทย เช้านี้เลยตื่นมาทานมื้อเช้าเร็วหน่อย หลังจากเมื่อคืนเก็บของลงกระเป๋ากันเรียบร้อยและคิดว่าน้ำหนักไม่น่าจะเกิน เมื่อเสร็จมื้อเช้าก็ขึ้นไปเก็บของลงมาเช็กเอาต์  จากนั้นเดินลากกระเป๋าไปที่สถานี Arlandda express เพื่อนั่งรถไฟด่วนเข้าสนามบิน แนะนำให้ลงอาคาร 5

        เมื่อถึงสนามบินก็ทำตามขั้นตอนแบบขามาโดยไปที่ตู้เลือกเที่ยวบิน เราได้พรินต์ บอร์ดดิ้งพาส (Boarding Pass)และแท็กรับกระเป๋าติดกระเป๋าแล้วก็ไปต่อแถวที่การบินไทยตั้งป้ายจะได้ไม่ต้องต่อแถวยาว ยืนรอไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ที่เดินดูว่าผู้โดยสารคนไหนติดแท็กรับกระเป๋าแล้วก็จะพาไปโหลดกระเป๋าทันที เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินของการบินไทย TG961 พอรู้ว่าเราสองคนเป็นคนไทยก็พูดคุยยิ้มแย้มและช่วยแนะนำเรื่องกระเป๋าใบหนึ่งที่น้ำหนักเกินจึงต้องดึงของออกมาถือขึ้นเครื่อง สำหรับเราถือเป็นเรื่องดีมากที่การบินไทยมีคนไทยประจำภาคพื้นดินคอยบริการทำให้อุ่นใจและคิดว่าทุกคนน่าจะคิดเหมือนกัน  สำหรับทริปสตอกโฮล์มก็ขอจบลงด้วยรอยยิ้มและความสุขมากกก พร้อมกับประมวลภาพซูเปอร์มาร์เก็ตยอดฮิตของสวีเดน เผื่อใครไปเที่ยวจะได้ไม่ลืมแวะชอปกันนะ

Related posts