สกู๊ปพิเศษ โดย…ยอดเยาวพา EP 1 ตะลุยสตอกโฮล์มเมืองสวยสงบ ปลอดภัย ค่าครองชีพถูก

แพลนเที่ยวสวีเดนโดยยื่นวีซ่าใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ก็ได้รับวีซ่าแล้ว เหตุผลที่เลือกไปประเทศนี้เพราะคุณสามีไปทำข่าวที่สวีเดนเรื่องซื้อกริพเพน Gripen ผลิตโดยบริษัทอุตสาหกรรมการบินและกลาโหมสวีเดนในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา การได้ไปสัมผัสประเทศที่ไม่รู้จักอยู่หลายวันเลยประทับใจ พอกลับถึงเมืองไทยจึงตัดสินใจเปลี่ยนทริปจากฝรั่งเศสที่มีข่าวประท้วงเปลี่ยนไปสวีเดนแบบกะทันหันราวโปรไฟไหม้ ทั้งที่เราไปเที่ยวไม่ง้อทัวร์กัน 2 คนซึ่งไม่เคยขอวีซ่ายุโรปเองมาก่อนก็เป็นการท้าทายที่ประสบความสำเร็จ โดยขอวีซ่า 28 ตุลาคม – 7 พฤศจิกายน 2568  เพื่ออยากไปสัมผัสบรรยากาศฮาโลวีน Halloween ที่โน้นในวันที่ 31 ตุลาคม ซึ่งได้เก็บภาพบรรยากาศมาฝากท่ามกลางอากาศหนาวทุก 10 วันที่เราอยู่ที่นั่นสำหรับการเดินทางในสตอกโฮล์มเราซื้อบัตร SL 7 วันโดยโหลดแอปใส่มือถือ ซึ่ง SL สามารถใช้กับระบบขนส่งสาธารณะในสวีเดนได้ครบทุกประเภท อาทิ รถเมล์, รถแทรม(รถรางที่วิ่งบนถนน),  รถไฟใต้ดิน และ เรือข้ามฟาก ถือว่าสะดวกสบาย แต่ที่สำคัญต้องมีเน็ตในมือถือเพราะตั๋วต้องใช้ QR CODE สแกนไม่สามารถสแกนแบบออฟไลน์ได้

ออกเดินทางไปสุวรรณภูมิวันที่ 27 ตุลาคม 2568 เราเลือกเดินทางแบบไม่ต่อเครื่องด้วย “การบินไทย” TG960 เครื่องออกจากสุวรรณภูมิเวลา 00.05 ของวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ถึง สตอกโฮล์ม อลันดา เวลา 06.45 น. ขณะอยู่บนเครื่องได้รับการบริการสุดประทับใจจากแอร์โฮสเตสและสจ๊วต (ได้เขียนชื่นชมเที่ยวบิน TG960 สามารถตามไปอ่านกันได้ที่เว็บไซต์ Asiamorning news) อาหารเสิร์ฟ  2 รอบก็ทานกันอิ่มหนำรอบแรกทานเสร็จก็หลับยาวเพื่อเอาแรงไว้เที่ยวเมื่อถึงที่นั่น

เมื่อการบินไทยนำผู้โดยสารถึงสตอกโฮล์ม อลันดา ก่อนเวลาจริงเกือบยี่สิบนาทีตามเวลาท้องถิ่นของวันที่ 28 ตุลาคม 2568 อย่างปลอดภัย ก็ผ่านตรวจคนเข้าเมือง จะแนะนำผู้ที่เดินทางไปสวีเดนครั้งแรกควรพรินต์ทริปท่องเที่ยว ใบแนะนำตัว ใบจองโรงแรมและจ่ายเงิน ใบประกันการเดินทาง (เราซื้อไว้หนึ่งปี) และตั๋วขากลับเพราะเจ้าหน้าที่ ตม.จะถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ โชคดีที่คุณสามีเคยมาหนหนึ่งจึงเป็นด่านหน้าเข้าไปเจรจาตอบข้อซักถามแทน หลังจากนั้นก็ให้สแกนใบหน้า เราก็ยิ้มหวาน ก่อนได้ยินเสียงประทับบัตรผ่านเข้าเมืองด้วยความดีใจ เมื่อได้รับพาสปอร์ตคืนจาก ตม.ก็เอามาแนบอกพร้อมรอยยิ้มดีใจกับทริปเที่ยวที่เขียนว่า “ฮันนีมูน 10 วัน” ยื่นให้ ตม.คนนั้นดู

หลังจากผ่าน ตม. มาเรียบร้อยก็ผลัดกันเข้าห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนชุดเตรียมตะลุยลมหนาวจากเช็กอากาศอุณหภูมิ 2 องศา ดีที่เสื้อผ้าที่เตรียมไปเอาอยู่ไม่ต้องไปหาซื้อ แถมเอามาเกินด้วยซ้ำ เลยคุยกับคุณสามีถ้าปีหน้ามาเที่ยวอีกจะตัดเสื้อที่ไม่ได้ใส่ออกเพื่อให้มีพื้นที่กระเป๋าเหลือไว้ซื้อของฝากกลับมากกว่าครั้งนี้ (ขากลับซื้อของฝากแบบกังวลน้ำหนักกระเป๋า หนำซ้ำตอนโหลดกระเป๋าขากลับต้องเอาถุงเท้าที่ไม่ได้ใส่ออกมาไม่งั้นกระเป๋าน้ำหนักเกิน 23 กก.) พอสวมชุดเตรียมรับความหนาวแล้วก็ยังไม่ออกจากสนามบิน คุยกันว่าทริปนี้มาแบบไม่เร่งรีบด้วยวัยและสวีเดนเป็นประเทศที่มีเนินไปทุกที่ต้องเดินขึ้นเนิน จึงเดินไปหยุดไป (กลับถึงเมืองไทยคุณสาน้ำหนักลด 4 กิโล ส่วนเราลด 1 กิโล คงเพราะเดินเอื่อยเฉื่อยกว่าแหละ) ก็เก็บบรรยากาศในสนามบินเห็น 7-Eleven ก็เข้าไปส่องจะเน้นพวกขนม แซนวิช กาแฟเป็นแบบตู้กดให้เติมเอง แต่ต่างจากที่อื่นตรง 7-Eleven ในสนามบินจะมีดอกไม้สวยสดหลากสีขายเป็นช่อ คงเตรียมไว้เพื่อผู้ที่มาต้องการซื้อไปต้อนรับเพื่อนหรือศิลปินก็สะดวกไปต้องไปหาซื้อไกล หลังแชะภาพมุมต่าง ๆ อิ่มหนำก็นั่งทาน SUBWAY ที่ซื้อมาจากเมืองไทยคนละชิ้นเพื่อเอาแรงก่อนจะไปซื้อบัตร Arlandda express ตู้สีเหลืองเด่นสง่า ใครที่ทำบัตร Krungthai TRAVEL ก็ใช้ซื้อได้แต่ต้องจำรหัส 6 หลักด้วยเพราะร้านที่สตอกโฮล์มบางร้านก็ให้กดรหัส หรือใช้บัตรเครดิตซื้อได้เช่นกัน เมื่อได้บัตรในราคาคุ้มโดยซื้อ 2 คน 460 sek  เราก็มองหาลิฟต์เพื่อจะลงไปชั้นขึ้น Arlandda express แต่ก่อนจะไปขึ้นรถไฟในสนามบินเห็นโปรโมตว่านั่ง Arlandda express ไปยังสตอกโฮล์มใช้เวลา 18 นาที (ขณะนั่งก็จับเวลาใช้เวลาตามโฆษณาแถมมาตามเวลาด้วย) เมื่อขึ้นมาบนรถไฟก็มองหาที่เก็บกระเป๋าลาก รู้สึกมั่นใจตอนเก็บกระเป๋าไม่ต้องห่วงกังวลว่าประตูรถไฟยังไม่ทันปิดจะมีโจรมาฉกกระเป๋าเราลงไปแล้ว พอวางกระเป๋าเข้าที่เก็บแล้วก็หาที่นั่งเพื่อมองบรรยากาศสองข้างทางด้วยความตื่นเต้นกับการมายุโรปกันสองคนครั้งแรก ได้เห็นวิวชานเมือง เห็นร้าน McDonald’s การมาเที่ยวไม่ง้อทัวร์ก็ดีตรงไม่ต้องเร่งรีบ อยากดูหรือแวะตรงไหนก็ได้ ครั้นนั่งมาถึงสถานีปลายทางก็มีคนลงกันหมด ก็ไม่ลืมสำรวจว่าถ้าขากลับต้องซื้อตั๋วตรงไหนก็เห็นตู้สีเหลืองในสถานีไม่ได้ใหญ่โตแต่มี Lounge ของ Arlandda express ไว้บริการด้วย  เราสองคนเดินออกไปสัมผัสอากาศ 2 องศาด้วยรอยยิ้มถึงแววตา พร้อมกับลากกระเป๋าไป เห็นมุมไหนสวยก็หยุดแวะเก็บภาพตึกรามบ้านเมืองของเขาเป็นระยะอย่างไม่เร่งรีบ กระทั่งได้ยินเสียงคนทักด้วยภาษาไทยก็หันไปมอง น้องผู้ชายหน้าลูกครึ่งถามว่า พี่เป็นคนไทยหรือครับ คงได้ยินเสียงเราคุย ก็ตอบว่าใช่ เลยทักทายและบอกน้องไปว่าดีใจได้เจอคนไทย พูดคุยเลยรู้ว่าน้องเขาเกิดเมืองไทยแต่มาทำงานที่นี่เลยกลายเป็นประชากรของประเทศนี้แล้ว รู้สึกดีที่มาถึงสตอกโฮล์มวันแรกก็ได้เจอคนไทยต้อนรับด้วยภาษาบ้านเรา

เดินและแวะถ่ายรูป เดินแวะถ่ายรูป  จนกระทั่งถึง Scandic Go Hotel ที่พักแห่งแรกของเรา 3 คืน 28 – 31 ตุลาคม ที่เลือกพักที่นี่เพราะรีวิวว่าดี แถมเช็กอินแบบพอมาถึงก็มีน้องหล่อใส่หมวกทักทายและแนะนำให้เราเช็กอินเลยไม่ต้องรอ 15.00 น. คือนักท่องเที่ยวจะมาถึงเวลาไหนก็ให้เช็กอินทันที เลยบอกกับน้องหล่อไปว่า perfect เมื่อได้คีย์การ์ดหลังจากกรอกรายละเอียด ก็ไม่มีอะไร แค่กรอกชื่อ นามสกุลของผู้จอง วันเดือนปีเกิด เบอร์โทร  อีเมล และเลขพาสปอร์ต จากนั้นให้เลือกว่าต้องการคีย์การ์ดกี่ใบเราเลือกเก็บแค่ใบเดียวกันสูญหาย เมื่อเช็กอินเรียบร้อยก็ขึ้นห้อง ไม่ต้องกังวลที่นี่มีลิฟต์ให้บริการ 2 ตัวแถมมาเร็วด้วย ขอไม่รีวิวห้อง จะบอกว่าห้องให้ผ้าเช็ดตัว มีฮีตเตอร์ แอร์ แต่ไม่ให้กาน้ำร้อนหรือน้ำดื่ม หากแต่ห้องก็มีหน้าต่างตามที่แจ้งความประสงค์มาตอนแรก ที่ไม่เน้นรีวิวห้องเพราะจุดประสงค์ของเราอยากให้เห็นภาพเมืองและแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตที่ก่อนหน้าเราเห็นในช่องยูทูบท่องเที่ยวสวีเดน ทว่าเราได้มาเห็นกับตาด้วยเอง 10 วันแถมเที่ยวครบทุกแห่ง

ที่เที่ยวแรกหลังจากเก็บกระเป๋าและพักผ่อนสักพักใหญ่ ก็ตรงไปเที่ยวตามโปรแกรมแต่ขณะเดินไปป้ายรถเมล์ก็เจอรูปปั้นของ “MASTER PALM” มาถึงเมืองไทยได้ค้นประวัติ ท่าน เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์สวีเดน ฉายาท่านมักถูกเรียก MASTER PALM เพราะเป็นอาจารย์และช่างฝีมือผู้มีประสบการณ์ บทบาทสำคัญท่านเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งขบวนการแรงงานและพรรคสังคมประชาธิปไตยในสวีเดน เราสองคนได้ถ่ายภาพกับท่านพร้อมขอให้เที่ยวปลอดภัยตลอดสิบวัน

ขณะรอรถเมล์ก็เปิดแอป SL ในมือถือรอไว้ ที่บอกว่าใช้แอป SL ในมือถือต้องมีเน็ตแต่ถ้าใครไม่มีเน็ตก็สามารถไปหาบูธของ SL แล้วซื้อบัตรได้ เพราะเห็นคนที่นั่นใช้บัตรลักษณะเป็นการ์ด ซึ่งตอนแรกที่ซื้อ SL 7 วันก็ห่วงว่าหากหมดจะรู้ได้ไงเพราะเราเที่ยว 10 วัน พอเริ่มใช้สแกนขณะขึ้นรถเมล์มีวันที่หมดอายุแสดงให้เห็นตอนสแกนเลยสบายใจ หรือเมื่อบัตรใกล้หมดวันก็จะเห็นเวลานับถอยหลังอยู่ใต้กรอบ QR CODE

สำหรับรถเมล์ที่สวีเดนบางคันมีขึ้นด้านหน้าแต่ลงตรงกลาง หรือบางคันมีขึ้นด้านหน้า ขึ้นตรงกลางก็จะมีที่สแกนบัตร แต่สิ่งที่ชอบคือรถไม่รีบออก คนขับรถจะรอจนกว่าผู้โดยสารที่ขึ้นมาสแกนบัตร SL ครบทุกคนแล้วรถถึงเคลื่อนตัว ที่สำคัญรถเมล์เวลารับผู้โดยสารถ้าผู้หญิงมีรถเข็นเด็ก หรือคนชรามีรถเข็นพยุงเดินรถจะเอียงเพื่อให้สะดวกในการขึ้น ถือว่าเขาคำนวณออกมาได้อย่างน่าทึ่ง

ขณะนั่งรถก็เพลิดเพลินกับการมองบรรยากาศสองฝั่งถนนด้วยความตื่นเต้น คุณสามีก็เก็บภาพเป็นที่ระลึกไว้เยอะเพื่อนำมาลงข่าวให้ได้เห็นความสวยงาม โดดเด่นของสวีเดน เมื่อลงจากรถก็ต้องเดินต่อ ทว่ารู้สึกสะดุด 7-Eleven บรรยากาศน่านั่งกว่าในสนามบินเพราะกว้างกว่าเลยชวนคุณสามีเข้าไปดูเพราะหิวอยากหาอะไรเบา ๆ ลองท้อง เดินส่องไปมาก็เจอ คัพเค้กที่แปะไว้เด่นหราว่า “Best” Uber Eats ใจนึกว่าแปะไว้เล่น ๆ หากแต่ด้านหน้ากระจกร้านก็ยังแปะไว้เช่นกัน เห็นแบบนี้ก็อยากรู้รสชาติเลยจัดมา 1 ชิ้นเป็นคัพเค้กที่ไม่ได้ให้พนักงานอุ่นก็มีความเย็นปนแข็งนิด ๆ หากแต่มีรสเปรี้ยวของผลไม้ที่ผสมกัน ทานล้างปากกับฮอทด๊อก 2 ชิ้นที่เราสั่งมา นั่งทานในร้านมองวิวหนุ่มหล่อ สาวสวยและคุณแม่ ๆ เข็นรถเข็นลูกหรือคนรักน้อน หมาก็จูงออกมาเดินกันเกลื่อนถนนให้เห็นจนชินตาขณะอยู่ที่นั่น

อิ่มท้องแล้วก็ออกเดินต่อไปยัง Ostermalms Saluhall ตลาดเอิสเตอมาล์มส  สตอกโฮล์มเป็นตลาดเก่าแก่ที่เปิดมานาน 130 ปี ตั้งอยู่ภายในอาคารอิฐสีแดงหลังใหญ่ ภายในบรรยากาศคลาสสิกมาก แม้แต่แผงขายของต่างๆ เปิด จันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.30 – 19.00 น. / เสาร์ เวลา 09.30 – 17.00 น. (ปิดวันอาทิตย์) ด้านในมีห้องน้ำด้วยนะ จะบอกว่าห้องน้ำที่สตอกโฮล์มหายากไม่เหมือนไปเที่ยวญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งในห้างสรรพสินค้าของที่นั่นก็มีแต่จะให้บริการเฉพาะผู้ซื้อสินค้าโดยโชว์สลิปให้พนักงานหน้าห้องน้ำดู แต่ถ้าไม่ได้ซื้อสินค้าก็จ่ายค่าห้องน้ำจำราคาไม่ได้ไม่แพงหรอก เราชำระค่าห้องน้ำด้วยบัตร Krungthai TRAVEL ง่ายไม่ยุ่งยากหรือถ้าใครมีบัตรเครดิตก็จ่ายด้วยบัตรเครดิตได้

ภายใน Ostermalms Saluhall ตลาดเอิสเตอมาล์มส จากที่เดินเที่ยวชมมีขายชีส ขายขนมหวาน ไอศกรีม มีร้านอาหาร และร้านขายพวกของดอง เช่น มะกอกดอง แตงกว่าดอง ฯลฯ แต่ไม่ได้ซื้ออะไร ทว่าไปได้ของกลับไปทานที่ห้องที่ Hemkop Supermarket ซึ่งอยู่อีกฝั่งกับ Ostermalms Saluhall ไม่ได้ถ่ายด้านในเพราะเขาไม่อนุญาตให้ถ่าย แต่เราซื้อไส้กรอก ไข่สด และถั่วเคลือบน้ำตาลอร่อย ที่บอกอร่อยตอนคุณสามีมาสวีเดนได้เป็นของฝากพอเจอเลยซื้อและขากลับก็ซื้อกลับพร้อมซื้อฝาก บก. Asiamorning ด้วย ซึ่งจากสังเกตถั่วเคลือบที่นี่ราคาถูกกว่า Supermarket อื่นที่ไปเข้ามา หรือบางแห่งก็ไม่มียี่ห้อนี้ขาย แต่ที่ชอบสุด ๆ และเก็บภาพมาฝากไม่พอยังซื้อกินเห็นป้ายเขียนว่า ‘Hollon’ เป็นแผงขายผลไม้สดเราดูจากยูทูบท่องเที่ยวแต่ได้มาเห็นกับตาเลยจัดมา 1 ถาด ราคา 60 sek คุณสามีก็ใช้บัตร Krungthai TRAVEL จ่ายให้ก็ได้ใบเสร็จมา โดยทุกร้านถ้าอยากได้ใบเสร็จก็แจ้งพนักงาน ส่วนตอนที่แลกเงินใส่บัตร Krungthai TRAVEL ได้เรต 3.382 ถ้าทุกคนอยากรู้ราคาบาทไทยก็คูณเอานะ จริง ๆ Hollon ก็มีขายใน Hemkop Supermarket แต่อยากได้บรรยากาศเลยยอมจ่ายแพงหน่อย รสชาติเปรี้ยวอมจืด เนื้อผลไม้ก็นุ่มนิ่ม 555 ได้ทานก็สมใจแล้ว

หลังจากจบเที่ยวที่นั่นก็เก็บภาพบรรยากาศโดยรอบเห็นโบสต์ไกล ๆ และมีห้างเล็ก ๆ อยู่อีกมุมก็เข้าไปสำรวจแต่ไม่ได้ซื้อเพราะในนั้นเน้นน้ำหอม เสื้อผ้า เครื่องสำอาง ฯลฯ เสร็จจากชอปปิ้ง Hemkop Supermarket ก็นั่งรถเมล์กลับ แต่พอดีลงป้ายเจอ HOTORGSHALLEN ตลาดอาหารในร่มอีกแห่งที่ขายของไม่ต่างกับ Ostermalms Saluhall นัก เพียงแต่ด้านหน้าทางเข้าดูทันสมัยกว่าจะอยู่คนละด้านกับ HAYMARKET ที่นี่ดอกไม้น่าจะเป็นที่นิยมเพราะเป็นแผงใหญ่มากตอนไปก็ยังเปิดอยู่ รวมถึงแผงผลไม้ที่จัดแบบแผงที่ซื้อ Hollon ก็มีขายที่นี้เช่นกัน ที่สวีเดนพอ 5 – 6 โมงก็มืดแล้วทำให้หลงเวลาพาง่วงวันแรก ๆ ที่ไปถึง ครั้นปรับตัวได้ก็เที่ยวสนุกสดชื่นขึ้น วันแรกก็เที่ยวแค่นี้แล้วก็กลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนวันพรุ่งนี้ค่อยลุยต่อ

วันที่ 29 ตุลาคม เป็นวันที่ 2 ในสตอกโฮล์ม ตั้งใจไป The Stockholm Public Library ห้องสมุดสาธารณะสตอกโฮล์ม แต่พอไปถึงดันปิดซ่อมแซม จะเปิดให้บริการปี 2027 โห เสียดายจังตั้งใจมาดูความงามเลย เลยถ่ายรอบ ๆ เท่าที่เก็บความสวยมาได้ แต่ทำไงดีโปรแกรมเคลื่อนเลยเดินดูรอบ ๆ ได้เจอร้าน APROTAX จากเข้าไปสำรวจและส่องราคาวิตามิน เช่น โอเมก้า 3 ซึ่งเป็นร้านขายยาทั่วไป มีไบโซลวอน พลาสเตอร์ ส่วนวิตามินพวกโอเมก้า 3 ราคาแพงหน่อยแถมได้ปริมาณน้อยเลยกะว่าตามหาร้านอื่นดูเพราะมีเวลาอีกหลายวัน ครั้นออกจากร้านนั้นก็เจอ COOP Supermarket จากที่อยู่หลายวัน COOP กับ ICA Supermarket จะมีหลายสาขาและเจอบ่อย ถามว่าซื้ออะไรที่ COOP Supermarket เราซื้อคาเวียร์สีดำ ราคาตกใจ ที่บอกตกใจเพราะถูกมากเลยซื้อไปทานกับขนมปังกรอบของสตอกโฮล์มก็เข้ากันดี เลยขากลับซื้อกลับไป 2 ขวดสีดำกับสีส้ม ชอปของที่ต้องการได้มาแล้วก็เดินต่อไปโดยดูจาก GOOGLE Map เลยได้เจอ LIDL Supermarket ด้านในขายสินค้าคล้าย Makro ราคาคำนวณแล้วบางอย่างก็ไม่แพง บางอย่างก็แพง เหมือนเข้าไปสัมผัสบรรยากาศซูเปอร์มาร์เก็ตต่างแดน และเดินต่อไปเจอ NORMAL ก็ไม่รู้ว่าด้านในขายอะไรเห็นป้ายสีเขียวเลยเข้าไปดู ดูจากสินค้าบางอย่าง เช่น ชอกโกแลตราคาถูกกว่าซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งที่ไปเข้ามา เราได้ยาสระผมเพราะรู้สึกผมเปราะบางและร่วงเลยหายาสระผมและลองสระที่นั่นเลยใช้ดีเห็นผลทันที เลยซื้อกลับไทย 3 ขวด

จากที่ส่องสินค้าและราคาของ NORMAL มีบางอย่างถูกน่าตกใจ บางอย่างแพงสลับกันไป ขอแนะนำหากใครเจอร้าน NORMAL แล้วเจอสินค้าลดราคาถูกใจให้ซื้อเลยอย่าไปหวังสาขาอื่นเพราะแต่ละสาขานำสินค้ามาลดไม่เหมือนกัน ดูจากที่เราชอป NORMAL มา 3 สาขา หากแต่สาขาที่ใกล้กับห้าง AHLENS CITY นักท่องเที่ยวจะเยอะอาจต้องต่อแถวรอนานกว่าจะได้จ่ายเงิน ทว่าเราก็รอมาแล้วเพื่อซื้อสินค้าลดที่อยากได้ หนำซ้ำมีสินค้าไทย เช่น น้ำปลาตราปลาหมึกขายด้วยนะ จากที่ส่องราคาใน NORMAL เลยได้ของฝากให้ตัวเองเป็นเซรั่มขนกลับมาหลายขวดและโอเมก้า 3 ก็ไปถึงถิ่นไม่ซื้อไม่ได้แล้ว และคิดว่าถ้ามีโอกาสไปเที่ยวสวีเดนอีกร้านนี้จะเป็นร้านในดวงใจที่ไม่ลืมชอปของฝากกลับแน่นอน

วันนี้ชอปเป็นวันแรกได้ของจากซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งที่แวะไปเลยเอาของเข้าไปเก็บที่ห้องก่อนแล้วออกมาสู้ความหนาวต่อโดยเดินไปยังสถานี T-CENTRALEN เป็นสถานีใหญ่ซึ่งใช้เวลาเดินจากที่พักมายี่สิบกว่านาที โดยสถานีอยู่ภายในห้าง AHLENS CITY ซึ่งหากต้องการเข้าห้องน้ำเมื่อซื้อสินค้าก็นำใบเสร็จโชว์ให้พนักงานหน้าห้องน้ำดู แต่ถ้าไม่ได้ซื้อสินค้าก็จ่ายค่าห้องน้ำด้วยบัตร Krungthai TRAVEL หรือชำระด้วยบัตรเครดิตได้

โดยจุดหมายที่ตั้งใจจะไปคือ Stockholm Metro Station สถานีรถไฟใต้ดินในกรุงสตอกโฮล์ม ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นนิทรรศการศิลปะที่ยาวที่สุดในโลก ความยาวกว่า 110 กิโลเมตร ที่นี่ได้ศิลปิน 150 คน มาออกแบบทั้ง 90 สถานี (จากทั้งหมด 100 สถานี) มีการเพนท์ลวดลาย ดีไซน์ผนัง เพดาน ชานชาลา ตกแต่งเป็นรูปแบบต่าง ๆ ที่ไม่ซ้ำกัน) ก็เก็บภาพเท่าที่เก็บได้มาให้ชมกัน หลังเสร็จจากเที่ยวชมอุโมงค์รถไฟใต้ดินก็กลับเข้าโรงแรม

ในวันที่ 30 ตุลาคม เป็นวันที่ 3 ที่จะพักเมืองใหม่ วันพรุ่งนี้จะเปลี่ยนไปพักเมืองเก่าติดริมทะเล สำหรับโปรแกรมวันนี้เลือกเที่ยวในร่มเพราะฝนตกแต่เช้าตามพยากรณ์อากาศ ซึ่งเราสองคนพกร่มมาด้วย แต่ไม่อยากหมกตัวในโรงแรมให้เสียเวลาไป 1 วัน คุณสามีหาที่เที่ยวมาได้ที่ “Stockholm Tunnelbana 75” (1950-2025) เป็นพิพิธภัณฑ์รถไฟของเมืองสตอกโฮล์ม ต้องนั่งรถเมล์ออกไปชานเมืองท่ามกลางสายฝนพรำทว่าพ่อแม่หรือปู่ย่าก็ไม่พาดพาลูกหลานไปเที่ยวที่เดียวกับเรา ค่าบัตรคนละ 120 sek ซึ่งไม่รวมค่าอาหาร ด้านในมี 4 ชั้น มีลิฟต์ไว้คอยบริการ บรรยากาศเหมือนนำรถไฟตั้งแต่รุ่นแรก รถเมล์ เรือ พร้อมประวัติมาให้เราได้รู้ จากที่เดินชมไม่เสียดายเงินที่มาเที่ยวเลย ก็แชะภาพรถไฟและได้ยินเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ อย่างมีความสุขกับกิจกรรมด้านใน เช่น มีให้นั่งรถไฟจำลองซึ่งผู้ใหญ่อย่างเราได้แค่ยืนดูอย่างอยากนั่ง ขอเล่าถึงศูนย์อาหารหลังเดินชมครบ 4 ชั้นก็หิวเลยลงมานั่งทานอาหาร โดยวิธีสั่งอาหารจากที่เราประสบมา ถ้าต้องการทาน แพนเค้กก็หยิบมาตามที่อยากทาน ซุปเนื้อ(อร่อยมากกก) ไส้กรอก พนักงานก็จะให้จานไปใส่แล้วนำมาคิดเงินที่เคาน์เตอร์ พร้อมเค้ก น้ำดื่ม ส่วนการจ่ายเงินคุณสามีชำระด้วยบัตร Krungthai TRAVEL เนื่องจากที่สวีเดนไม่รับเงินสดซื้ออะไรก็สแกนผ่านบัตรเท่านั้น ถ้ามีโอกาสมาเที่ยวสวีเดนใส่ที่เที่ยว Stockholm Tunnelbana 75 เอาด้วยไม่ผิดหวังแน่ ขนาดเราไม่มีลูกมีหลานยังเพลินเลย อีกทั้งซุปเนื้ออร่อยจริงไม่ได้อวยแค่เผ็ดหน่อยสำหรับเรา

อิ่มเอมกับ Stockholm Tunnelbana 75 ไปหลายชั่วโมงก็นั่งรถเมล์กลับไปที่ห้าง AHLENS CITY เพื่อแวะ Hemkop Supermarket ซึ่งอยู่ชั้นล่างของห้าง แต่อดแวะ NORMAL เพื่อซื้อของก่อนไม่ได้ ขณะเข้าไปชอป Hemkop Supermarket ก็สังเกตคนที่นั่นตักลูกอมหลากหลายรสชาติละลานตามาก เลยตัดสินใจถามผู้หญิงน่ารักคนนึง เธอบอกว่าวันนี้ Hemkop Supermarket จัดโปร! ลูกอมเพราะพรุ่งนี้วันฮาโลวีน จึงเข้าใจว่าทำไมผู้คนแห่ตักลูกอมที่ขายเป็นกิโลในราคาโปร ส่วนเราไม่รู้จะเอาลูกอมไปแจกเด็กที่ไหน เพราะไม่มีเด็กมาเคาะประตูบ้าน เลยได้แค่มองเขาตักลูกอมกันสนุกสนาน แล้วนึกภาพตามที่ผู้หญิงคนนั้นบอก จากนั้นก็ซื้อของที่ต้องการก่อนกลับโรงแรม พร้อมเก็บกระเป๋าเพื่อจะย้ายที่พักวันพรุ่งนี้

นี่แค่ EP 1 ยังมีอีก 2 EP รอชมความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ พร้อมกับบรรยากาศวันฮาโลวีน Halloween ที่สวนสนุก GRONA LUND และเราได้รู้จักกับคนไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นยี่สิบกว่าปีจนกลายเป็นเศรษฐีน้อย

Related posts