สกู๊ปพิเศษ
โดย…ยอดเยาวพา
เป็นโปรแกรมไปเที่ยวที่วางแพลนไม่นานเพราะคนที่บ้านไปทำข่าวที่สวีเดน ปรากฏว่าชอบบรรยากาศที่เงียบสงบและรายล้อมด้วยธรรมชาติ อีกทั้งผู้คนจิตใจดี เมื่อกลับมาก็รีบขอวีซ่าโดยตั้งใจเดินทางเดือนตุลาคมเพื่อให้ทันวันฮาโลวีนที่โน้น โดยไปพักที่ Hotel Reisen In The Unbound Collection By Hyatt ทำให้ได้เจอกับพนักงานเสิร์ฟในส่วนของอาหารเช้า โดยBOZLUR RAHMAN ที่เป็นพนักงานดูแลส่วนนั้นก็ดูแลเราและแขกคนอื่นเป็นอย่างดี พอรู้ว่าเราเป็นคนไทยก็บอกว่ามีพนักงานเสิร์ฟคนไทยชื่อว่า “BANDIT CHAROENRAM” จะมาทำงานวันพรุ่งนี้เพราะเขาหยุด ครั้นวันรุ่งขึ้นเราลงไปทานอาหารเช้าตามปกติก็ได้เจอตัวเป็น ๆ ของบัณฑิต แต่ตอนแรกบัณฑิตไม่รู้ว่าเราเป็นคนไทยเขาบอกว่าเราหน้าไม่เหมือน แต่ BOZLUR ได้บอกบัณฑิตจึงมาทักทายด้วยภาษาไทยพร้อมยิ้มแย้มดีใจ เราก็ดีใจที่ได้เจอคนไทยที่นั่น ซึ่งวันแรกที่ไปถึงก็เจอคนเชื้อสายไทยมาทักด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

ครั้นได้คุยกับบัณฑิตก็เล่าถึงชีวิตรันทด รันทดจนสามีนั่งฟังน้ำตาไหล บัณฑิตตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ ตอนอายุ 13 เพราะครูถามที่อยู่ของเขาก็ตอบซื่อ ๆ ว่าอาศัยอยู่ในที่ของเจ้านาย ครูถามต่อถ้าเจ้านายขายที่ครอบครัวบัณฑิตจะไปอยู่ไหน? คำถามนั้นกระแทกใจทำให้บัณฑิตตัดสินใจเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ โดยทำงานก่อสร้างได้เงินวันละ 30 บาท เป็นงานลากเหล็กกลางแดดจนนิ้วและมือพองหมดแต่ก็ทำงานก่อสร้างอยู่นานจนกระทั่งลุงที่รับเจ้าตัวเข้าทำงานจะกลับบ้านต่างจังหวัดและไม่กลับมาอีกเพราะเมียกับลูกรออยู่ ซึ่งบัณฑิตได้เรียกลุงคนนั้นว่า พ่อบุญธรรม ทำให้พ่อบุญธรรมสงสารก่อนจะกลับบ้านนอกก็พาบัณฑิตไปฝากงานที่โรงงานตุ๊กตา
“พ่อบุญธรรมพาผมมาฝากทำงานโรงงานตุ๊กตาทำไป ๆ แล้วเรากำลังเป็นวัยรุ่นน่ะ ก็ติดเพื่อนแล้วเป็นช่วงโรงงานปิดวันปีใหม่ พนักงานเขาก็หยุดกลับบ้านกันหมด ก็เลยถามเพื่อนกูไปบ้านมึงได้ไหม เพื่อนบอกได้สิ ๆ ก็ตามเพื่อนไปบุรีรัมย์ พ่อเพื่อนพาเราไปบวช ก่อนหน้าพ่อเพื่อนบอกบวชให้พ่อหน่อยได้ไหม เพราะลูกเขาผู้ชาย 5 คน ผู้หญิง 1 คนไม่มีใครบวชเพราะมีเมียมีสามีกันหมดแล้ว พ่อเขาก็จับเราโกนหัวเข้าวัด พอเข้าวัดเพิ่งเข้าใจคำว่า ‘ร้อนผ้าเหลือง’ เป็นยังไง เราเคยอยู่เคยกิน เคยเล่น ไปอยู่ในวัดต้องจดจำศีล 227 ข้อ ผมตัดสินใจเดินลัดทุ่งนาผ้าเหลืองปลิวว่อน ท่องไปตลอดทางอยู่ไม่ได้ ๆ แต่พอไปถึงหน้าบ้านมีคนเฒ่าคนแก่นั่งลงกับพื้นแล้วกราบเราทำเราใจชื้นนน พ่อเพื่อนเอาน้ำเย็นมาให้เราก็ใจเย็นลงก่อนจะขับรถพาเราไปส่งวัด ผมบวชได้พรรษากว่า (แฟนฟังเรื่องราวถึงกับซึ้งเช็ดน้ำตา)
ป๊าไปเที่ยวประเทศไทยแล้วเจอผมเลยชวนมาสวีเดน ป๊าทำงานธนาคารตอนนี้ลาออกแล้วเพราะสุขภาพไม่ค่อยดี ตอนแรกที่ป๊าชวนมาเราไม่รู้ด้วยว่าสวีเดนคืออะไร เราไม่รู้จะมาอยู่หรือมาทำงาน ตอนแฟนหรือป๊าชวนมาเราก็ไม่มีห่วงคือเราไม่มีครอบครัวแล้วเลยไปข้างหน้าดีกว่า ป๊าได้ฟังชีวิตผมก็บอกเองลำบากมามากแล้ว เองมาอยู่นี่ตัดสินใจเองจะไปโรงเรียนเมื่อไหร่ จะทำงานเมื่อไหร่ ที่หนูได้เจอป๊าอาจเพราะตอนหนูทำงานก่อสร้างหนูขึ้นไปร้องไห้บนดาดฟ้าปล่อยโฮเลยแล้วพูดว่า ‘แม่ช่วยหน่อยหนูอยู่ไม่ไหวแล้ว’ พอเราร้องไห้ได้สักพักก็กลับลงไปนอนก็ไม่คิดว่าเราจะมาถึงนี่นะ ไม่คิดเลย ผมคิดว่าชีวิตทุกวันนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ผมอยู่ที่สวีเดนมายี่สิบห้าปีแล้ว ตอนแรกที่ตัดสินใจเริ่มทำงานที่โรงงานไฟฟ้า เกี่ยวกับเครื่องจักรรถไฟฟ้าบ้านเราแต่บริษัทปิดเพราะย้ายไปเปิดที่จีน เราเลยต้องหางานใหม่เลยได้งานพนักงานเสิร์ฟที่ Hilton Stockholm ทำที่นั่น 12 ปี แล้วก็ย้ายมาที่ Reisen เป็นเครือข่ายของ Hyatt ทำมา 5 ปี ผมเพิ่งเซ็นสัญญาทำงาน 80 เปอร์เซ็นต์ จริง ๆ มี 75 80 และ 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อนผมBOZLUR เขาเซ็น 100 เปอร์เซ็นต์ คือทำทุกวันไม่มีวันหยุดเพราะเขามีภรรยาและมีลูก แต่ผมเซ็น 80 เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าอยากมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น คือเราคิดดูแล้วเราไม่มีภาระมาก ทำงานได้เงินเดือนก็ไม่ต้องส่งให้ทางบ้านเพราะพ่อแม่ผมเสียหมดแล้ว ตอนแรกผมทำแบบ Extra 75 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็เพิ่มมา 100 และก็ลงมาเหลือ 80 เปอร์เซ็นต์ (หัวเราะ) แล้วแต่อายุ รู้สึกว่าเราอายุมากขึ้น ตอนนี้อายุ 53 ครับ

เพื่อนที่สนิทก็มี BOZLUR เป็นคนบังคลาเทศ แล้วมีเพื่อนคนไทยอีกคนเขาก็กลับไปแล้ว ทำงานกับ BOZLUR มานานไม่เคยทะเลาะกันเลย จากที่ผมเซ็นทำงาน 80 เปอร์เซ็นต์ ก็มีเวลาดูแลบ้าน ทำความสะอาด และทำสวน ที่สวนปลูกผักคะน้า ปลูกผักกาด ไม่มีสารเจือปนเพราะที่นี่เขาห้ามมาก เวลาว่างมาก ๆ ก็จะไปประมูลของเก่ามี 2-3 ที่เพื่อมารีโนเวทใหม่ ชิ้นแรกที่ได้เป็น ตู้ เราจะเลือกประมูลของที่เราพอซ่อมได้แต่เราต้องมาลงทุนทำเอง ถ้าเราเอามาซ่อมแซมแล้วเอากลับไปลงขายมันจะได้อีกราคาหนึ่ง นี่คืองานอดิเรกของผมครับ”
จากที่อยู่สวีเดนชอบการคมนาคมมันดีไปหมด รถไฟ รถบัส มันไม่สายมันไม่มาช้า แล้วก็อากาศ และปลอดภัย เหตุร้ายน้อยมากถ้าเกิดเรานับทั่วยุโรปสแกนดิเนเวียปลอดภัยสุด อยากให้คนไทยมาช่วงซัมเมอร์จะได้มีเวลาออกเดินเที่ยวได้สะดวก เดินชมได้ทั่ว ที่สตอกโฮล์มมันง่ายที่จะเดิน มันไม่เหมือนกรุงเทพฯบ้านเราใหญ่โตมาก แท็กซี่บางคันยังไม่รู้จะไปที่นั่นยังไง แต่ที่นี่แท็กซี่รู้หมด เมืองเขาไม่เล็กไม่ใหญ่พอดีและอยู่ใจกลางแม่น้ำ ส่วนค่าครองชีพก็ถือว่าถูกถ้าเกิดเทียบกับนอร์เวย์จะแพงกว่า คนที่นี่ก็นิสัยดี ไม่ค่อยก้าวก่ายกับเรื่องส่วนตัว”
