หนังติดดาว เดือนกันยายน

“One Battle After Another – หนึ่งศึก ครั้งแล้ว ครั้งเล่า”

เป็นหนังอีกเรื่องที่เห็นชื่อนักแสดง อย่าง ฌอน เพนน์, เดล โตโร และ ดิคาปิโอ ที่มารวมตัวกัน ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากก็อยากดูเลย หลังดูหนังจบเรื่อง พูดสั้น ๆ “สนุกมาก”​ (แบบมาก ก.ล้านตัว)  ก่อนไปดูรู้แค่ข้อมูลเบื้องต้นที่ทางพีอาร์เอจาก warner ส่งมาก็ไม่ต้องคาดหวังทำให้ได้อรรถรสในการดู ซึ่งดูตั้งแต่ต้นจนจบเนื้อเรื่องมันลุ้นตลอดเรื่องเลย แล้วเรื่องมันจะไปยังไง จะจบยังไงเนี่ย ก็เห็นมีเดล โตโร เล่นด้วยแถมโปสเตอร์หนังทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Sicario ภาค 1 ภาค 2 ที่เขาเล่น แต่เอาจริง ๆ เรื่องนี้ผู้ก่อการร้ายเป็นพระเอก (หัวเราะ) และเนื้อเรื่องดี เอากลุ่มต่อต้านมาเป็นตัวเอกของเรื่องต่อสู้กับทหาร ทหารที่ตอนแรกก็ดีแต่ความโลภทำให้ตัดสินใจฆ่ากระทั่งลูกสาวตัวเองเพียงเพราะเป็นลูกกลุ่มต่อต้านหนำซ้ำผิวสีทำให้ขัดต่อการก้าวหน้าของชีวิตที่รออยู่ข้างหน้า  นักแสดงหญิงตัวเอกเล่นดีแม้ไม่เคยเห็นผลงานแต่ก็เล่นดีประกบผู้ชาย 2 คน แต่ที่เด่นและขโมยซีนสุด “ฌอน เพนน์” ไม่รู้เขาอายุเท่าไหร่แต่ฟิตหุ่นมาได้ขนาดนี้ โหดีมาก  ขณะที่ เดล โตโร เรื่องนี้ฉีกบทลบภาพจากหนัง Sicario ไปมาก และดิคาปิโอเรื่องนี้นอกจากซีนดราม่าแล้วก็ปล่อยมุกตลกเกือบทั้งเรื่องก็ไม่ทิ้งฝีมือการแสดง ทว่าก็ยังถูกฌอน เพนน์ขโมยซีน แม้จะถูกขโมยซีนแต่ดิคาปิโอในบทพ่อเลี้ยงเดี่ยวแสดงสีหน้า อารมณ์ถึงบทบาท แต่พอดูหนังจบสลัดคำด่าของดิคาปิโอที่ด่าคนถามรหัสพระเอกที่ลืมไปแล้ว เพราะใครจะจำได้มันโคตรนาน ดูเรื่องนี้ได้แง่คิดเรื่องนึงแน่ ๆ คือใครที่ตั้งรหัสประตูบ้าน รหัส ATM ก็จำกันให้ได้หรือจดไว้ด้วย เพราะคนเราสักวันก็ต้องแก่ลง สรุปเป็นหนังที่ดีมากแถมรวมพลนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์มาปะทะฝีมือกันแบบไม่ใช่จะได้เห็นกันบ่อย ติดเต็ม *****

“Afterburn ล่าขุมทรัพย์แดนแดดเดือด”

หนังเรื่องนี้ดูเอามันส์เลยไม่ต้องคิดอะไรมาก เนื้อเรื่องเต็มไปด้วยความสนุก มันส์ บู๊ ตั้งแต่เปิดเรื่องเพียงแค่ 5 นาทีก็สาดความมันส์ บู๊ เสียงเอฟเฟกต์สะเทือนถึงกล้ามเนื้อรู้สึกเจ็บแทนคนถูก เดฟ บอทิสตาฟาดและยิงด้วยปืนตายสภาพศพไม่สวยสักคน เนื้อเรื่องมาแนวพระเอกเป็นนักล่าสมบัติแบบได้รับใบสั่งมา ที่ทำเพราะอยากเก็บเงินเพราะมีความฝันอยากมีเรือท่องไปในทะเลกว้างใหญ่เพื่อใช้ชีวิตสงบสุขในบั้นปลาย แล้วบอทิสตาก็ฟิตหุ่นมาเพรียวไม่หนาเทอะทะเหมือนหนังเรื่องแรก ๆ ที่เล่น เรื่องนี้เห็นหุ่นเพรียวทำให้การเคลื่อนไหวดูตัวไม่หนา สำหรับฉากคล้ายหนัง อาทิ Death Race, Mad Max เพราะเป็นเมืองล้มสลาย แล้วเรื่องนี้มีฉากขี่รถผาดโผนหลายฉากเหมือนไปชวนทีม X-Game มาเพราะมีขี่มอเตอร์ไซค์วิบากไล่บี้  ทว่าฉากเด่นของเรื่องคือ รถที่พระเอกขับตอนท้ายเหมือนรถแรลลี่ที่วิ่งในทะเลทราย และมีฉากรถเหิน ดูแล้วคนขับต้องเก่งมากเพราะจะเน้นฉากขับรถเหินหรือหลบกระสุนจากรถถังอย่างฉิวเฉียดทำเอาใจหายใจคว่ำ ซึ่งตัดต่อออกมาเนียนดูสมจริง ฉากนี้ยกนิ้วให้คนขับรถเลย ซึ่งเรื่องนี้ต้องการโปรโมตฝรั่งเศสเพราะมีหลายเมืองจริง ๆ เพียงแค่อยู่ยุคล้มสลายทำให้ได้เห็นชีวิตคนถูกทหารกบฎกดขี่ ข่มเหงแล้วเป็นพระเอกที่จับพลัดจับผลูแบบไม่ตั้งใจเข้าไปช่วยกวาดล้างจนสิ้นชื่อแถมตายอย่างโหดสะใจดี นางเอกไม่ชมไม่ได้เพราะ โอลกา คูรีเลนโก ในบททหารหญิงแห่งกองกำลังปลดแอกก็ดีไซน์ท่าต่อสู้บู๊ออกมาดุเดือดเชื่อว่าเธอเก่งแถมเล่นบู๊ถึงด้วย ซึ่งหนังบู๊เอามันส์ บทไม่ได้ว้าวทว่ามาดูเพราะชอบสองนักแสดงนำและเขาก็นำนักแสดงรุ่นเก๋าที่เราไม่คุ้นเคยมารวมในเรื่องนี้ ติดให้ *** ครึ่ง

“Malice – เกมล่าคนบาปโซเชียล”

          ถือเป็นหนังนอกกระแสที่ไม่ได้รับการโปรโมตหรือปล่อยทีเซอร์ให้เห็นก่อนหน้า พอดีถูกพีอาร์เอ เชิญรอบสื่อจากวอรเนอร์พอได้ดูจนจบก็ถึงกับตกใจ เพราะเป็นหนังที่ดี ซึ่งเป็นหนังจีนแผ่นดินใหญ่ที่เกี่ยวกับแนวสืบสวนไขคดีที่ได้รับความสนใจเป็นข่าวในโซเชียล ในสมัยที่ทุกคนก็มีสื่ออยู่ในมือ รวมถึง การเน้นทำยอดวิว จนทำให้เน้นความรวดเร็วสะใจมากกว่าการตรวจเช็กให้ละเอียดหรือถูกต้องอย่างแน่นอนก่อนสรุป  ถือเป็นบทภาพยนตร์ที่ทำออกมาได้ดีและยอดเยี่ยมมาก เข้ากับยุคสมัยนี้จริง ๆ ที่โซเชียลระบาด เพราะมีทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม เป็นหนังที่ดูเพลินดูสนุก มีการพลิกเรื่องราวไปมา สมจริงกับสภาพสังคมปัจจุบัน ที่หลาย ๆ ครั้งผู้ต้องสงสัย ต้องได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จากความเข้าใจที่ยังไม่ถูกต้องครบถ้วนทว่ากลับถูกพิพากษา กันไปก่อนแล้วจากกระแสโซเชียล สำหรับนักแสดงนำทุกคนเล่นได้ดีมาก สื่ออารมณ์ ความเจ็บปวด ความเครียด แรงกดดันออกมาพาให้รู้สึกคล้อยตามอารมณ์เหล่านั้นไปด้วย โดยเฉพาะนักแสดงหญิงทุกคนล้วนแสดงออกในบทได้โดดเด่นเกินกว่านักแสดงชายมากทีเดียว ออกแนวเบื้องหลัง โหนกระแส เวอร์ชั่นจีนแผ่นดินใหญ่ แต่มีการพลิกกระแสไปมา ทว่าก็มีข้อด้อยเรื่องหาข้อมูล เนื้อเรื่อง ต้นแบบของเรื่องนี้ที่เป็นนิยายออนไลน์ ชื่อ E Nv A You ไม่เจอ ติดให้ ****

“เวียนว่ายตายเกิด”

          ซึ่งเป็นหนังแนวลึกลับ กับ ลัทธิความเชื่อ ทำให้เกิดเหตุการณ์ในเนื้อเรื่องขึ้นมา เนื้อหาน่าสนใจ แต่บทภาพยนตร์กำกับเรียบเรียงมาได้แค่ระดับนึงแบบไม่สุด ทำให้อรรถรสของเรื่องราวลดลงไปหน่อย คือน่าจะทำได้ดีกว่านี้ เพราะฉากในหนังทำได้ดีคุมธีมหรือบรรยากาศ ได้เหมาะสมลงตัว  ยิ่งนักแสดงนำอย่าง แอนดริว เกร็กสัน ก็เล่นได้ดีมากเข้าถึงบทตัวละครและถ่ายทอดอารมณ์ออกมาดีอยู่แค่คนเดียว และอีกคนที่เล่นได้ดีตามบท ก็คือ สุรศักดิ์ วงษ์ไทย คนนี้ไม่เคยผิดหวังกับการแสดงสักครั้ง ส่วนนักแสดงที่เหลือก็เล่นได้ไม่ถึงอารมณ์ตัวละคร กระทั่งน้ำเสียง แววตาก็ทำได้ไม่ถึง และบางครั้งดูขัดกับบริบทที่ควรจะเป็นด้วยซ้ำ เลยไม่ทำให้ ไม่รู้สึกอินของพวกเขาทำให้หนังออกมาจืดกว่าที่ควร ดูแล้วไม่สนุก ไม่เด่นเหมือนชื่อหนัง ติดให้ **

“The Shadow’s Edge – แผนระห่ำ ใหญ่ฟัดเดือด”

          ปีนี้มาแล้วกับหนังของ เฉินหลงที่ไปถ่ายทำกันที่ มาเก๊า เมืองเกาะที่ปัจจุบันมีสะพานเชื่อมกับฮ่องกงเรียบร้อยแล้ว กับเรื่องราว การสอบสวนคดีเงินเหรียญดิจิทัล ที่เหล่าอาชญากรฝีมือเยี่ยม รวมถึงการปลอมตัวหลบหนี ไม่ให้ระบบกล้องวงจรปิด บันทึกจับสังเกตได้ หนำซ้ำฝีมือการต่อสู้ดี นำทีมอาชญากรที่มีหัวหน้าทีม คือ เหลียง เจียฮุย ทำให้ทีมตำรวจต้องเชิญ ตำรวจเกษียณแล้วแต่มากฝีมืออย่าง เฉินหลงกลับมาช่วยหาตัวเหล่าคนร้าย และได้กลับมาเจอกับ ลูกสาวของอดีตเพื่อนตำรวจ ที่รับบทโดย จาง จื่อเฟิง ในบท ตำรวจหญิงหน้าใส ตัวเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนสาววัยรุ่นทั่วไป มากกว่าจะเป็น ตำรวจ ซะอีก  สำหรับบทภาพยนตร์ถือว่าดีมาก ทำเรื่องราวให้กระชับแต่เข้าถึงเรื่องและความผูกพันของตัวละครได้ดี  ไม่พูดถึงฉากต่อสู้ไม่ได้เลย หนังเฉินหลงจะไม่พลาดฉากต่อสู้ที่เรื่องนี้ทำออกมาดูสนุก รวดเร็ว ว่องไว เทคนิคแพรวพราว นักแสดงนำทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันแบบซักซ้อมมาเลยดูคล่องแคล่วสมจริงดี โดยเฉพาะ 3 ตัวละครหลัก เฉินหลงที่เล่นบทบู๊ และถ่ายทอดความอบอุ่นที่มีให้กับลูกสาวของเพื่อนได้สมบูรณ์ ส่วน  เหลียง เจียฮุยในบท เสือเฒ่าก็ถ่ายทอดออกมาดีที่สุด ทั้งแววตา อารมณ์ ท่าทางแบบ หมาป่าดูแล้วครบเครื่องและไม่ผิดหวัง ในขณะที่ จาง จื่อเฟิงที่ดูภายนอกไม่น่าเข้ากับบทตำรวจได้เลยกลับแสดงท่าทาง บุคลิกออกมาได้น่าเชื่อถือแถมดูมีเสน่ห์ขึ้นไปอีกแบบ จากที่รู้ว่าหนังได้ไปถ่ายทำมาเก๊าในหลาย ๆ ฉาก ๆ ได้เห็น จดจำเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแบบของมาเก๊าก็ช่วยส่งให้เกิดความอยากไปตามรอยหนังเรื่องเลย การกลับมาของเฉินหลงเรื่องนี้ไม่ผิดหวังควรค่าแก่การไปดูหนังของราชานักบู๊ที่หลายคนชื่นชอบ หนังเหมาะกับคนรักเฉินหลง คนชอบหนังตระกูลฟัด และคนที่อยากหรือเคยไปเที่ยวมาเก๊ามาแล้ว ยิ่งน่าดูมากขึ้น ติดให้ ****

“The Long Walk เกมเดินมรณะ”

 รอบสื่อฯมีเซอร์ไพรส์สุดเพราะ ‘น้องสิตา ธีรเดชสกุล’ ได้ควงคุณแม่ไปร่วมชมภาพยนตร์เรื่องนี้มีแฟนคลับแห่รอรับ สำหรับ The Long Walk เกมเดินมรณะเป็นเรื่องที่เข้าไปดูคิดว่าหนังมีซอมบี้โผล่มาแต่ไม่มีอย่างที่คิด ที่เดาแบบนั้นเพราะดัดแปลงมาจากนวนิยายแนวดิสโทเปียของสตีเฟน คิง ผู้ได้ฉายาว่า “ราชาแห่งนิยายสยองขวัญ” (King of Horror) แต่เนื้อเรื่องหนังเกี่ยวกับการแข่งขันเดินอึดประจำปีในสหรัฐอเมริกาที่ปกครองโดยระบอบเผด็จการ โดยมีเด็กหนุ่ม 100 คนเข้าร่วมแข่งขันเดินบนทางหลวงหมายเลข 1 โดยมีกฎเหล็กคือ ‘ห้ามเดินช้ากว่า 4 ไมล์ต่อชั่วโมง’ หากฝ่าฝืนจะถูกกำจัด คำว่ากำจัดคือยิงทิ้งอย่างโหดเหี้ยมเลย เพราะจะมีเพียงผู้ชนะคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับรางวัลใหญ่ สำหรับฉากยิงทิ้งแต่ละคนก็โดนยิงอย่างน่าสงสารและโหดเนื่องจากเดินต่อไม่ไหว มีคนนึงที่โดนยิงทิ้งไม่เป็นธรรมเพราะถูกเพื่อนบูลลีเรื่องเพศแถมต่อว่าถึงมารดาฉากนั้นรู้สึกสะเทือนใจจริง ๆ ที่เขาถูกยิง ถ้าถามว่าหนังเดินเรื่องยังไง เรื่องนี้คือเดินทั้งเรื่อง(หัวเราะ) เป็นหนังเดินทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบจริง ๆ ในแง่ภาพดูแล้วอาจจะปวดหัวหน่อยเพราะขนาดกล้องพยายามทำให้ดูสมูทเลยไม่สั่นแต่ความที่ถ่ายขณะเดินและจับหน้านักแสดงเลยเห็นสะเทือนและโยกตามตัวเพราะเป็นการเดินถ่ายทั้งเรื่อง พูดถึงความสนุกใช้ได้เลยเป็นหนังที่ดี อีกทั้งบทพูดสำคัญมากและเยอะมากแต่เป็นการพูดคุยอย่างเปิดอกที่ผสมมิตรภาพล้วน ๆ คือดีมาก ดูแล้วได้แง่คิดเรื่องของมิตรภาพอันดับแรก ต่อมาความเสียสละต่อเพื่อนร่วมเดินที่ไม่ทิ้งกันในเวลานั้นมันโคตรซึ้ง จากที่เริ่มมาบางคนอาจทำให้เพื่อนรังเกียจไม่อยากคุยแต่ก็เปิดใจพูดและแทงตัวเองตายเพื่อขอโทษคนที่ต้องตายเพราะตัวเองจากถูกบูลลีหรือยกชีวิตให้เพื่อนได้รางวัล นักแสดงผิวสีเล่นดี บุคลิกดีมากคือแสดงโดดเด่นออกมาเลย ทว่านักแสดงคนอื่นก็เล่นดีซึ่งทำให้จดจำหน้าตาได้ ยอมรับว่าดูแล้วอึดอัดและลุ้นทั้งเรื่องว่าใครจะรอด อยากรู้ว่าใครรอดต้องไปดูเอง เป็นหนังที่ดูสนุกมาก แม้เดินคุยกันตลอดเรื่องแต่เกิดมิตรภาพระหว่างเพื่อนที่น่าประทับใจ ติดให้ **** ครึ่ง

“The Conjuring: Last Rites”

          เข้าสู่จักรวาลสยองขวัญที่แฟน ๆ เฝ้าติดตามมายาวนานก็มาถึงบทสรุป The Conjuring: Last Rites เป็นภาคที่ยังคงเอกลักษณ์ของซีรีส์เอาไว้อย่างครบถ้วน ทั้งความน่ากลัว บรรยากาศอึดอัด และการแสดงอันทรงพลังของ แพทริค วิลสัน และ เวร่า ฟาร์ไมก้าที่กลายเป็นหัวใจของเรื่องเสมอมา ความโดดเด่นของหนังภาคนี้ไม่ใช่เพียงฉากสะดุ้งหรือการปราบผี แต่คือการ ใส่ “ความเป็นมนุษย์” เข้าไปมากขึ้น เรารับรู้ถึงความเหนื่อยล้า ความหวัง และความรักของครอบครัวของ Warren จนบางช่วงอาจทำให้คนดูซึ้ง ไม่ต่างจากการนั่งดูหนัง ดราม่าครอบครัว  แต่ขณะเดียวกัน เสียงดนตรีประกอบก็กดดันได้ดี ใช้ทั้งเสียงบรรเลงหนัก ๆ และจังหวะเงียบที่สร้างบรรยากาศชวนเสียวสันหลัง ทว่าจุดอ่อนของหนังคือความยืดยาวเกินจำเป็นในช่วงต้น การเล่าเรื่องยังคงใช้สูตรสำเร็จแบบ Conjuring จนบางอย่างเดาได้ และตัวร้ายในภาคนี้ก็ไม่ได้น่าจดจำเท่า “ไอคอนผี” จากภาคก่อน แต่หนังก็ยังมีลูกเล่นให้แฟน ๆ ยิ้มได้จาก Easter egg ที่เชื่อมโยงกับภาคเก่า ๆ ซึ่งถือเป็นรางวัลเล็ก ๆ สำหรับคนที่ติดตามแฟรนไชส์มาตลอดจนถึงภาคสุดท้าย ติดให้ ****

“PRETTY CRAZY – เดี๋ยวสวยเดี๋ยวแสบ ผมแทบจะเครซี่”

          เป็นหนังเกาหลี แนวโรแมนติก คอมเมดี้ น่ารัก สนุกสนาน ไปกับสาวที่มี 2 บุคลิก ที่เกิดจากการที่สาวเจ้านั้นถูกผีเข้าสิง เนื้อเรื่องถือว่าเดินเรื่องได้น่าติดตาม บทภาพยนตร์ก็เรียบเรียงได้ดี ทำให้หนังกระชับเดินเรื่องไม่น่าเบื่อ ดูสนุกสนาน และผูกพันกับตัวละครหลัก ทั้ง 4 ได้อย่างรวดเร็ว ที่นำแสดงโดย อิมยุนอา นางเอกของเรื่องมี 2 บุคลิก ที่ทั้ง น่ารักใส ๆ กับ สวยเปรี้ยว แสดงได้ดีมากทั้ง 2 บุคลิกเลย และสามารถทำให้แต่ละบุคลิกแสดงออกโดดเด่นไม่แพ้กัน ส่วนพระเอกที่แสดงโดย อันโบฮยอน หนุ่มตกงาน ห้องด้านบนที่ต้องผู้ดูแลนางเอก เขาแสดงออกมาดูซื่อตรง จริงใจ ก่อให้เกิดความรักและผูกพัน ตีบทได้ชนะใจสาว ๆ ที่กำลังดูเข้าแสดงบทนั้น ในขณะที่ผู้ดูแลคนก่อน พ่อนางเอก ที่แสดงโดย ซองดงอิล เล่นได้ดี โดดเด่นมากเช่นกัน ออกแนวพ่อที่อาจจะพูดหรือแสดงออกแบบห้าว ๆ ดุ ๆ หน่อย แต่กลับให้ความรู้สึกถึง ความอบอุ่นที่พ่อมีต่อลูกได้อย่างดี และอีกคนในครอบครัว คือ ลูกพี่ลูกน้องนางเอก รับบทโดย จูฮยอนยอง แม้บทในเรื่องจะน้อยกว่าตัวละครหลักแต่ก็เล่นได้โดดเด่นอีกคน บุคลิกที่เป็นผู้ช่วยสนับสนุนทางอ้อม ขี้เล่นขี้ซนช่วยเติมเต็มให้ดูเป็นครอบครัวที่อบอุ่นอย่างลงตัว หนังทำออกมาออกแนวฟิลกู๊ด ดูแล้วฮีลใจ ให้หัวใจกับคนรอบข้างอบอุ่นตาม ซึ่งคนที่ชอบ คนที่รัก คนที่ดูแลกัน ถ้าได้ดูจะช่วยเติมใจให้กันได้ดีเลย ติดให้ *** ครึ่ง

“Bambi The Reckoning แบมบี้”

ซึ่งเปิดเรื่องด้วยการเล่าด้วยภาพการ์ตูนเกี่ยวกับกวาง โดยเสียงผู้หญิงที่เล่าเสียงน่าฟังมากและคิดตามว่าที่กวางดุร้ายไล่ฆ่าคนเพราะถูกมนุษย์รังแกก่อนก็ส่วนหนึ่ง แต่มาเฉลยตอนท้ายถึงสาเหตุที่สัตว์ต่าง ๆ ดุร้ายเพราะอะไร จากเปิดเรื่องเป็นการเล่าด้วยภาพก่อนจะเข้าสู่เรื่องราวของสองแม่ลูกที่ต้องเดินทางด้วยรถแท็กซี่ไปบ้านครอบครัวสามี หรือก็เพื่อให้ลูกชายได้เจอกับพ่อที่ไม่เคยมาหาเลยทำให้ลูกชายคิดถึงหมั่นถามหาพ่อบ่อย ๆ แต่ขณะเดินทางก็มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อกวางตัวใหญ่เขายาวดูน่ากลัวพุ่งชนรถจนกระเด็นและพลิกคว่ำ เป็นเหตุให้คนขับแท็กซี่ถูกรถตัวเองทับจากกวางที่ดุร้ายกระทึบ ๆ ซึ่งสบโอกาสให้สองแม่ลูกที่หวาดกลัวหนีกันสุดชีวิต ดีที่ในป่าก็ไม่ห่างจากบ้านครอบครัวสามีจึงไปถึงในสภาพเหนื่อยหอบและหวาดกลัว แต่นึกว่าหนีพ้นเคราะห์จากกวางแบมบี้ที่ดุร้ายแล้ว แต่มันบุกไปถล่มถึงบ้านเป็นเหตุให้คนนึงในครอบครัวเสียชีวิตอย่างอนาถ ส่วนคนที่เหลือก็พากันหนีขึ้นรถบ้านแต่ก็ถูกกวางแบมบี้ไล่บี้กะเอาชีวิตทั้งคันรถ เป็นหนังนอกกระแสคล้ายหนังซอมบี้ดูจากสภาพกวางคล้ายซอมบี้และดุร้ายวิ่งไล่ฆ่าอย่างไม่เหนื่อยแถมฉลาด หนำซ้ำเป็นเอกลักษณ์เสียงฝีเท้าของมันดูทรงพลังเวลาโผล่มาถือว่าเสียงซาวด์ประกอบทำผวาเหมือนกัน หนังมาเฉลยว่าสาเหตุที่กวางและสัตว์ในป่าดุร้ายเพราะคนปล่อยสารพิษลงในแหล่งน้ำพอสัตว์ดื่มเข้าไปก็กลายเป็นปีศาจไล่ฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ดุร้ายเหมือนเอาคืนมนุษย์ได้สะใจดี แต่คนที่ไม่รู้เรื่องพลอยซวยด้วย เรื่องนี้เด่นที่กวางตามโปสเตอร์แต่ก็ได้เห็นว่าสัตว์ในป่าตัวอื่นก็ดุร้ายเช่นกัน ดูแล้วบางฉากเหมือนไปเอามาจากหนังจูราสสิคพาร์ค (Jurassic Park) เลย ซึ่งทางทีมผู้สร้างชอบฉากในจูราสสิคพาร์คเลยเอามา เช่นฉากกระต่ายโผล่มาแล้วถูกคนทำร้ายคราวนี้พรรคพวกมารุมยำก็สะใจดี หรือฉากไฮไลต์ที่เผชิญหน้ากับแบมบี้ก็คล้ายกำลังเผชิญหน้ากับตัวเอเลี่ยนอ้าปากรอขย้ำหัว จากที่ดูหนังมีการเสียดสีว่ามนุษย์ทำร้ายธรรมชาติทำให้ถูกธรรมชาติเอาคืนโหดร้ายกว่า กราฟฟิกก็เนียนแต่ไม่ได้ว้าว เพราะกวางยังดูแข็ง ๆ วิ่งไล่ยังไม่เป็นธรรมชาติและเนียน แต่ที่ทำน้ำตาซึมคงเป็นฉากสุดท้ายทั้งสงสาร เห็นใจแม่ลูกได้เจอกันไม่กี่นาทีก็ต้องพลัดพรากเป็นภาพที่สะเทือนใจอยู่ แต่ก็แสดงให้เห็นความรักของสัตว์ที่ออกตามหาลูกอย่างบ้าคลั่งซึ่งไม่ต่างจากมนุษย์ที่รักลูกเลย แล้วเตรียมมีภาคต่อด้วย ติดให้ ** ครึ่ง

“คำสาปเสื้อกันฝน – Haunted Mountains The Yellow Taboo”

          จากที่ไปดูหนังของค่าย THM Studio19 มักนำหนังผีไต้หวันเข้ามาถี่ ๆ ถือว่าดีได้เห็นพิธีกรรมการไล่ผีและได้ดูผลงานของนักแสดงที่ชื่นชอบ อย่างเรื่องคำสาปเสื้อกันฝนที่อยากดูส่วนนึงชื่นชอบ 2 นักแสดงชาย เปิดเรื่องมาก็ตื่นเต้นเลยใจกระตุกเพราะผีเสื้อกันฝนสีเหลืองออกมาฆ่าคนที่ขึ้นไปบนเขาเร็วไม่ต้องยืดเยื้อ ก็เป็นหนังแนวผีที่มีคำสาปมาเกี่ยวข้องของไต้หวัน แต่ไม่ได้หลอนเยอะแยะจะเน้นการแก้สิ่งที่ติดค้างในใจของพระเอกเป็นหลักเพราะตื่นมาก็พบว่าตัวเองวนลูปอยู่ที่เดิมซ้ำ ๆ และต้องหาวิธีช่วยคนรักที่ต้องตายเพราะถูกคำสาปผีเสื้อกันฝนตามฆ่า เรื่องนี้ใช้นักแสดงไม่เปลืองตัวเอก 3 และตัวประกอบรวม ๆ อยู่แค่ 3-4 คน แถมเสื้อผ้าก็ไม่เปลือง โลเคชั่นก็ที่เดิม แต่นางเอกน่าจะเจ็บฉากถูกพระเอกดึงน่าจะผิดคิวหัวเลยฟาดขอนไม้บนพื้นเห็นเอามือลูบหัวแต่สปิริตแรงยังเล่นต่อ  ซึ่งเป็นหนังผีที่ไม่ได้หลอนแรงแต่ดีไซน์ผีดูน่ากลัวและใส่เสื้อกันฝนลอยไปมาออกแบบผีเท่ เพราะบนเขาเวลาเจอฝนผู้ที่ขึ้นเขาก็ต้องใส่เสื้อฝนซึ่งเข้าบรรยากาศ แถมตั้งชื่อเรื่องไทยได้เก๋ด้วย เรื่องของเรื่องคือไปเที่ยวที่ไหนอย่าลบหลู่หรือมีป้ายอะไรห้ามก็อย่ารั้นจะเข้าไปจนเกิดเรื่องไม่คาดคิดแถมรุนแรงถึงขนาดเอาชีวิตได้ โดยเรื่องสอดแทรกและสอนว่าเวลาเข้าป่าเข้าเขาอย่าไปลบหลู่หรือเข้าไปสอดรู้สอดเห็นพิธีกรรมต่าง ๆ พอไปลบหลู่เข้าก็โดนสิ่งนั้นตามหลอกตามหลอน แต่ดีที่ยังหาสาเหตุได้ หนำซ้ำเจ้าที่เจ้าทางยังปรานีให้โอกาสได้แก้ไข บางคนอาจไม่โชคดีอย่างนี้ก็ได้ เหมือนหนังเตือนสติคนที่ดื้อรั้นเวลาเข้าป่าเจอป้ายห้ามมักเกิดความคึกคะนองจนเจอเรื่องร้ายแรงในชีวิตเข้า ด้านนักแสดงทั้ง 3 คนบทจะเทให้พระเอกมากกว่า และต้องแสดงอารมณ์ สีหน้ากับเหตุการณ์ที่วนไปวนมาเพื่อพรากชีวิตคนรักก็ทำให้เชื่อว่าอยู่สถานการณ์นั้น ถือว่าทุกคนทำหน้าที่ในบทของตัวเองออกมาน่าเชื่อว่าเจอสถานการณ์น่ากลัวจริง ๆ  เป็นหนังดูเพลินเหมาะคนที่ชื่นชอบแนวผี ๆ ที่มีพิธีกรรมไล่ผีของไต้หวันเข้ามาเกี่ยว พิธีกรรมแต่ละประเทศก็จะต่างกันไปก็ได้เห็นพิธีกรรมไล่ผีก็น่ากลัวอยู่ นอกจากนี้ให้แง่คิดเรื่องความเสียสละเพื่อช่วยคนที่รักมีชีวิตรอดต่อไป ติดให้ *** ครึ่ง

“Eden สวรรค์คนบาป”

          สร้างจากเรื่องจริงผู้รอดชีวิต! สำหรับ Eden และที่อยากดูเพราะชื่นชอบการแสดงของ จู๊ด ลอว์ พระเอกทรงเสน่ห์ ที่ผ่านหนังดัง ๆ มามากมาย วาเนสซ่า เคอร์บี ก็ผ่านหนังฟอร์มยักษ์มาไม่น้อย ที่คงคุ้นหน้าจากหนัง ballerina จากจักรวาล John Wick  ตัวหนังเล่าเรื่องราวในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ ในปี 1920 โดย มี ดร.ฟรีดริช (จู๊ด ลอว์) และ โดร่า (วาเนสซา เคอร์บี)  2 ผัวเมียที่หนีภัยสงครามมาใช้ชีวิตในวิถีธรรมชาติ และเขียนเรื่องราวบนเกาะร้าง “กาลาปากอส” โดยดร.ฟรีดริชได้เขียนบันทึกการใช้ชีวิตที่นี่ และส่งไปให้หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์ ซึ่งเกาะนี้ถือว่าห่างไกลจากชายฝั่ง “เอกวาดอร์” นับ 1,000 กิโลเมตร นาน ๆ จะมีเรือสักลำผ่านมาส่งเสบียงและของใช้จำเป็น แต่บนเกาะถือว่าไม่ธรรมดา เพราะมีทั้ง เต่ายักษ์กาลาปากอส อิกัวน่าทะเล ส่วนสภาพอากาศแม้จะไม่โหดร้าย แต่การอาศัยบนเกาะที่ไกลผู้คนหนำซ้ำมี “น้ำ” จำกัด มันก็อยู่ไม่ง่าย แต่…ความวุ่นวายได้มาถึงเมื่อคณะของ “เอโลอีช” (อนา เดอ อาร์มัส) ได้เข้ามา ซึ่งเธอสวยและทรงเสน่ห์มาก เธอมาเพื่ออยาก “รวย” และ “หวัง” จะสร้างรีสอร์ตสุดหรู แม้สภาพการใช้ชีวิตบนเกาะที่ดูเหมือนจะโหดร้าย ทว่า “จิตใจ” มนุษย์นั้นกลับ “ต่ำช้า” ยิ่งกว่าสัตว์ เดรัจฉาน สันดานดิบของมนุษย์นั้นยิ่งกว่าธรรมชาติ และสัตว์ทุกตัวบนโลก โดยสิ่งที่ได้เห็นในหนังนั้น คือ ความดิบเถื่อน ทั้งความคิด การกระทำ โดยเฉพาะจาก “เธอ” ผู้ทรงเสน่ห์ พร้อมใช้เรือนร่างล่อหลอก ปั่นหัว คนใกล้ชิด หรือแม้แต่เพื่อนร่วมเกาะ เพื่อให้ได้ประโยชน์กับตัวเอง คำพูดเหมือนน้ำผึ้งเคลือบยาพิษ เอาเป็นว่านอกจากได้เห็น “ธรรมชาติ” ที่โคตรธรรมชาติ บางฉากถึงกับ “ตะลึง” ไม่คิดว่าผู้กำกับอย่าง “รอน ฮาวเวิร์ด” จะปล่อยฉากนี้ออกมา แย้มนิดหนึ่งว่า เกี่ยวกับ “จู๊ด ลอว์” โดยเราจะเห็นเพียง “เสี้ยววินาที” ขณะที่ “อนา เดอ อาร์มัส” ก็โอ้โห…เร่าร้อนมาก ซึ่งไม่แปลกเลยที่เธอถูกเสนอให้รับบทนี้ ส่วนตัวแสดงคนอื่น ๆ ก็มีบุคลิกที่แตกต่างกันเหมือนเป็นตัวแทนของความรัก โลภ โกรธ หลง ซื่อตรง เหลี่ยมจัด ไม่มั่นคงต่อสิ่งยั่วยุ รวมทั้งความดำมืดในจิตใจมนุษย์ บอกเลยหนังไม่ได้เหมาะกับทุกคน หรือถ้าชอบหนังแนวดราม่าที่เล่นกับจิตใจมนุษย์ แนะนำให้ผ่านเรื่องนี้ไปได้เลย ซึ่งกว่าเนื้อเรื่องจะเข้มข้นขึ้นก็น่าจะผ่าน 30-40 นาทีไปแล้ว ติดให้ *** ครึ่ง

Related posts