ถิ่นวัฒนธรรมทั่วไทยไปกับพี่หนุ่ม’สุทน รุ่งธัญรัตน์ : พาไปรู้จักองค์เจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี

               “ถิ่นวัฒนธรรมทั่วไทยไปกับพี่หนุ่ม’สุทน รุ่งธัญรัตน์ ก็บเรื่องมาเล่า โดยหนุ่ม สุทน” เมื่อมาถึงจังหวัดสุพรรณบุรีแล้ว ต้องไปศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญยิ่งของเมืองสุพรรณและคนสุพรรณ

                เรื่องที่ 1 “ศาลหลักเมืองสุพรรณบุรี” หรือ”องค์เจ้าพ่อหลักเมือง” เป็นเทวรูปพระวิษณุหรือพระนารายณ์ 4 กร ทรงหมวกกระบอกแกะสลักด้วยหินสีเขียวแบบนูน น่าจะมีอายุประมาณ 1,200-1,300 ปี สร้างขึ้นเพื่อประกอบการบูชาบวงสรวงพระวิษณุหรือพระนารายณ์ตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดู พระวิษณุหรือที่เราเรียกอีกนามหนึ่งว่า “พระนารายณ์” เป็นเทพหนึ่งในสามของศาสนาฮินดู (ตรีมูรติ) พระพรหมเป็นผู้สร้าง พระวิณุเป็นผู้รักษา พระศิวะหรือพระอิศวร เป็นผู้ทำลาย พระนารายณ์ทรงบรรทมเหนือหลังพญาอนันตนาคราช เมื่อโลกถูกทำลายลงและทรงสร้างโลกขึ้นมาใหม่ด้วยดอกบัวที่ผุดออกจากพระนาภีของพระองค์และมีพระพรหมผู้สร้างโลกประทับอยู่

             ซึ่งไทยเรารับอิทธิพลทางคติความเชื่อและวัฒนธรรมหลายอย่างมาจากฮินดูตั้งแต่ครั้งสมัยยุคอาณาจักรทวารวดีศรีสุวรรณภูมิหรืออู่ทองที่ปรากฏร่องรอยอารยธรรมนั้นที่อำเภออู่ทองของจังหวัดสุพรรณบุรีที่สามาถศึกษาดูเรียนรู้ได้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง

               เรื่องที่ 2 ต่อมาเมื่อเมืองอู่ทองย้ายถิ่นมาตั้งบริเวณตรงข้ามวัดลานมะขวิด ครั้งกระนั้นพระเจ้ากาแต โปรดให้เจ้ามอญน้อยบูรณะซ่อมแซมวัดแล้วเปลี่ยนชื่อมาเป็น “วัดป่าเลไลยก์” อันนี้ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของเมืองพันธุมบุรีหรือสองพันบุรีครับ

               ส่วนเรื่องที่ 3 บริเวณพื้นที่ดินตั้งศาลเจ้าพ่อหลักเมืองน่าจะอยู่ในตัวเมืองพันธุมบุรีหรือต่อมาคือเมืองสองพันบุรีแล้วก็กลายเป็นเมืองร้างไป ส่วนทุกวันนี้ทางภาครัฐได้สร้างกำแพงเมืองไว้ให้รู้ว่านี่คือร่องรอยของเมืองสมัยโบราณ

               สำหรับเรื่องราวที่ 4 ตามข้อมูลที่เล่าขานสืบมาว่ามีชาวจีนเข้ามาตั้งบ้านเรือนริมน้ำแม่น้ำท่าจีนเมืองสุพรรณบุรีเมื่อครั้งกระนั้นน่าจะในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์กล่าวว่าชาวจีนได้เข้ามาพบตัวศาลเจ้าพ่อหลักเมืองซึ่งเป็นศาลไม้เล็ก ๆ ชำรุดเสียหายส่วนองค์เทวรูปพระวิษณุหรือพระนารายณ์นั้นจมลงพื้นดินจึงได้ร่วมกันจัดสร้างศาลเจ้าพ่อหลักเมืองขึ้นมาใหม่เป็นศาลเจ้าเล็ก ๆ ศิลปะแบบจีนโบราณ นี่เองคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองสุพรรณบุรีรู้จัก “ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง”

               ส่วนเรื่องที่ 5 มีเรื่องราวเล่าขานกันสืบมาว่าห้ามเจ้าเข้าไปเมืองสุพรรณบุรีซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2435 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพก็เสด็จหัวเมืองสุพรรณบุรีแล้วก็ได้เสด็จ ณ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองด้วย เมื่อเสด็จพระนครแล้วก็ทรงทูลเรื่องราวของหัวเมืองสุพรรณบุรีให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงทราบเรื่องศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี

               สำหรับเรื่องราวที่ 6 ในปี พ.ศ. 2447 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสต้นหัวเมืองสุพรรณบุรี แล้วทรงทอดพระเนตรองค์เทวรูปเจ้าพ่อหลักเมืองแล้วทรงโปรดฯ พระราชทานทรัพย์เพื่อบูรณะศาลเจ้าและพระราชทานตราประจำพระองค์ประดับไว้หน้าบันของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองทุกวันนี้ก็ยังประดับไว้เช่นเดิม

               เรื่องที่ 7 ต่อมาท่านบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อครั้งทำธุรกิจส่วนตัวได้ขอพรองค์เจ้าพ่อหลักเมืองถ้ากิจการเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยเงินทองจะมาสร้างศาลเจ้าให้ใหม่ครั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ศาลเจ้าก็เล่าเรื่องให้ฟังว่าพอจะรื้อศาลเจ้าเดิมออกเพื่อสร้างศาลเจ้าใหม่แต่ก็ทำไม่ได้ทุกคนเกิดอาการป่วยตลอดเวลาด้วยเหตุนี้จึงต้องสร้างศาลเจ้าใหม่ขึ้นครอบตัวศาลเจ้าเล็ก ๆ ของเดิมไว้ถึงทุกวันนี้ นี่คือส่วนหนึ่งเท่านั้นสำหรับเรื่องราวขององค์เจ้าพ่อหลักเมืองคือเทวรูปพระวิษณุหรือพระนารายณ์ 4 กร แกะสลักด้วยหินสีเขียวประดิษฐานคู่องค์ที่สูงเรียกองค์พี่ส่วนองค์เตี้ยเรียกว่าองค์น้อง ส่วนทุกวันนี้ทางศาลเจ้าได้แกะสลักองค์พระวิษณุหรือพระนารายณ์จำลองเพื่อให้ทุกท่านสามารถปิดทองได้เพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับชาวประชาทั้งหลายที่มากราบขอพรครับ

               สำหรับเรื่องราวที่ 8 องค์เจ้าพ่อหลักเมืองประดิษฐานคู่ ท่านผู้อ่านทุกท่านสนใจก็ไปกราบบูชาแล้วตั้งใจอธิษฐานขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ เช่น เรื่องทำธุรกิจการค้า การลงทุน ขายบ้าน ขายที่ดิน ก็ขอให้ทุกท่านประสบผลสำเร็จโชคดีมีความสุขมาก สุขภาพร่างกายแข็งแรง สมหวังกันทุกประการครับ

               ขอขอบคุณกรมส่งเสริมวัฒนธรรมกระทรวงวัฒนธรรม ที่ได้เชิญสื่อมวลชนไปทำข่าวพิธีเปิดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ ภาคกลางและภาคตะวันออก “ดนตรีสานศิลป์ 2 ถิ่นวัฒนธรรม” ณ เวทีกลางในวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ  “กินเที่ยวทั่วไทย เที่ยวเมืองไทยไม่ไปไม่รู้ ถ้าอยากรู้ต้องออกเดินทางไป…กับ…ผมหนุ่ม-สุทน” แล้วฝากติดตามฟังรายการ “กินเที่ยวทั่วไทยไปกับพี่หนุ่ม-สุทน รุ่งธัญรัตน์” ทางคลื่นข่าว fm 100.5 mhz ฟังเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ วิถีชุมชน วัฒนธรรมและอาหารถิ่นของชุมชนได้ทุกวันอาทิตย์เวลา 10.10-11.00 น.  ขอบคุณและสวัสดีครับ

เรื่องและภาพโดย : หนุ่ม-สุทน รุ่งธัญรัตน์

แฟนเพจเฟซบุ๊ค : https://www.facebook.com/sutonfm100.5/

#ติดตามฟังเรื่องราวการเดินทางเที่ยวทั่วไทยทางคลื่นข่าว100.5fm ทุกวันอาทิตย์เวลา 10.10-11.00 น.

#ติดต่อวิทยากรด้านการท่องเที่ยวได้ที่ได้ที่แฟนเพจเฟซบุ๊ค #เที่ยวเพลิน #เก็บเรื่องมาเล่าโดยหนุ่มสุทน #bigmaptravel #เที่ยวใกล้เที่ยวง่ายสไตล์ภาคกลาง

Related posts