หนังดีติดดาว***

หนังดีติดดาว***

            “John Wick 4” ผลงานแอ็กชัน-บล็อกบัสเตอร์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ทั้งด้านความบันเทิงและคะแนนวิจารณ์ของทุกภาค และครั้งนี้ John Wick กลับมาสร้างเสียงฮือฮาให้สมกับแฟนทั่วโลกรอคอย และเผยให้เห็นการปะทะกันของสองนักแสดงแถวหน้าอย่าง คีอานู รีฟส์ และ ดอนนี่ เยน (IP Man) และการปรากฏตัวของ บิลล์ สการ์สการ์ด (IT) และ ฮิโรยูกิ ซานะดะ (The Wolverine,  Avengers: Endgame) พร้อมด้วยทีมนักแสดงคุณภาพชุดเดิม อย่าง ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น และ เอียน แม็คเชน ที่มาการันตีว่า John Wick กลับมาครั้งนี้ดุเดือดกว่า โหดกว่า คนตายเยอะกว่าทุกภาคอย่างแน่นอน

              หนังยังคงอัดแน่นด้วยฉากแอ็กชันสุดมันส์ ทุกท่วงท่าและลีลาการยิงปืนหรือจับของมีคม แม้แต่กระบองสองท่อน มันคือศิลปะอันงดงามราวกับกำลังชม คีนู รีฟส์แปลงร่างเป็นนักเต้นมืออาชีพที่กำลังร่ายรำให้ชื่นชมอย่างใกล้ชิด และเห็นเหล่าศัตรูล้มลงราวใบไม้ร่วงเป็นเครื่องตอกย้ำความสะใจให้กับเรื่องราว มีฉากที่โคตรเจ๋งที่เป็นการถ่ายทำแบบ long take ในมุมมองที่ไม่เคยเห็นหนังเรื่องไหนทำมาก่อน ขออุ๊บ! ไปดูเองนะ แล้วคุณจะฟินกับฉากนั้น แต่ภาคนี้ได้เห็นโลกของนักฆ่าและมือสังหารที่กว้างไกลและมีโครงข่ายโยงใยไปทั่วโลก เป็นการเปิดโอกาสให้มีการใส่ตัวละครชุดใหม่เข้ามาหลายตัว โดยเฉพาะ ฮิโรยูกิ ซานะดะ ในบทผู้บริหารโรงแรม สาขาโอซาก้า และ ดอนนี่ เยน บทมือสังหารตาบอด และเป็นอาจารย์ของจอห์น วิค ก็ได้โชว์บู๊มันส์ ๆ หลายฉาก ซึ่งถ้าของมันขายได้เราอาจจะได้เห็นการขยายเรื่องราวของตัวละครใหม่ในหนัง spin-off หรือ series ก็ไม่แน่นะ  แต่สิ่งที่ชอบมากก็คือประเด็นที่หนังพูดถึง การกระทำและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเพราะการกระทำนั้น ตลอดเส้นเรื่องตั้งแต่ภาคแรกมาจนถึงภาคล่าสุด มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะการกระทำของตัวละครเอกหรือตัวละครรองที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกันไปหมด ใครจะคิดว่าหมาตายตัวเดียวในภาคแรก จะกลายเป็นจักรวาลมือสังหารอย่าง จอห์น วิค ทั้งเชื่อว่านักฆ่าในตำนานจะไม่หยุดแค่ภาค 4 แน่ ๆ (ขอแสดงความเสียใจกับวงการฮอลลีวูดที่สูญเสีย “แลนซ์ เรดดิค” นักแสดงคนดังจากแฟรนไชส์หนัง “จอห์น วิค” ในวัย 60 ปี) 

ติดเต็ม *****

            “Shazam! Fury of the Gods” ภาค 2 สานต่อความสนุก ผลงานจากนิว ไลน์ ซีเนม่า เรื่องราวภาคต่อของ บิลลี่ แบทสัน เด็กวัยรุ่นผู้เอ่ยคำวิเศษ “ชาแซม!” แล้วกลายเป็นผู้ใหญ่ในร่างซูเปอร์ฮีโร่ผู้เต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างชาแซม หลังจากที่ได้รับพลังอย่างพระเจ้า บิลลี่ แบทสันและเพื่อน ๆ ของเขาต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตของวัยรุ่น โดยมีความเป็นซูเปอร์ฮีโร่แบบผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจอยู่ในตัว แต่เมื่อลูกสาวของแอตลาสทั้ง 3 ที่มีความแค้นสมัยเทพเจ้าโบราณได้เดินทางมายังโลก เพื่อค้นหาเวทมนตร์ที่ถูกขโมยไปเมื่อนานมาแล้ว บิลลี่หรือชาแซมและครอบครัวของเขาจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้เพื่อพลังของพวกเขา ชีวิตของพวกเขา และชะตากรรมของโลกของพวกเขา

              หนังยังคงรักษาเสน่ห์และความน่ารักปนกวน ๆ ของกลุ่มฮีโร่วัยรุ่นได้เป็นอย่างดี ด้วยการให้ภาพความเป็นผู้มีพลังวิเศษที่อยากจะช่วยผู้คนและช่วยโลก แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นเพียงแค่วัยรุ่นที่มีความเกรียนและรู้เท่าไม่ถึงการณ์อยู่ในตัว สิ่งที่ออกมาก็เป็นความผสมผสานกันระหว่างการพยายามทำดีที่ผลลัพธ์ออกมาวายป่วงที่ดูแล้วสนุกมาก  ส่วนแอ็กชันแทบจะตลอดเวลา แต่เป็นแอ็กชันคอมเมดี้ที่ดูไปขำไปกับความเกรียนของเด็กวัยรุ่น สำหรับคนที่ผ่านภาคแรกมาแล้วก็ไม่มีอะไรยาก หนังจบแล้วเหมือนได้อัปเดตเรื่องราวและตัวละคร สำหรับภาคนี้ได้ทำให้เรื่องราวในภาคแรกสมบูรณ์ยิ่งขึ้น แล้วยังขยับเรื่องไปข้างหน้าที่น่าลุ้นว่าจะไปไกลแค่ไหนอีกด้วย   ด้วยความที่ตัวละครฝั่งพระเอกมีหลายตัว ก็เลยทำให้ไม่สามารถที่จะให้น้ำหนักและความสำคัญกับตัวละครได้หมดทุกตัว ตัวเด่นก็ยังคงเด่นมาจากภาคแรกจนถึงภาคนี้ ตัวด้อยก็ยังคงด้อยอยู่เหมือนเดิม หนังจบแล้วก็ไม่รู้สึกถึงพัฒนาการของตัวละครรองกลุ่มนี้เลย ในขณะที่ตัวร้ายที่มีจำนวนน้อยกว่า แถมยังเพิ่งโผล่มาในภาคนี้กันทุกตัวก็ยังได้รับคำอธิบายถึงที่มาที่ไป มูลเหตุจูงใจ และผลของการกระทำเมื่อหนังจบลง

ติดให้ **** ครึ่ง

              “ขุนพันธ์ 3” เนรมิตอาคมขลังโดย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ถือเป็นโปรเจกต์ใหญ่ที่รวม 4 เสือระดับตำนานของภาคกลาง โดยการประชันฝีมือของนักแสดงดังมากมาย อาทิ อนันดา, มาริโอ้, โตโน่, ฟ้า ษริกา, พลอย ชิดจันทร์, เป้ อารักษ์, เอม ภูมิภัทร, ฟิลลิปส์, ชลัฎ ณ สงขลา ฯลฯ  เรื่องราวความวุ่นวายทางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง  โดยขุนพันธ์ต้องลงพื้นที่ทางภาคกลางเพื่อตามล่ามหาโจร 2 ราย คือ เสือมเหศวร และเสือดำ ที่นอกจากออกอาละวาดปล้นจี้อยู่ในบริเวณนั้นแล้ว ทางราชการยังมีข้อมูลว่าทั้งคู่อาจจะเกี่ยวข้องกับการทำร้ายและลักพาตัวนักการเมืองชื่อดังกลุ่มหนึ่งอีกด้วย

              ช่วงแรกหนังเล่าชีวิตส่วนตัวของขุนพันธ์ให้ความรู้สึกที่สงบสุขและสบายใจ แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อทางราชการต้องการคนมีฝีมืออย่างขุนพันธ์ไปช่วยงาน หนังก็ใส่เกียร์เดินหน้าและขยับจังหวะการเล่าเรื่องให้เร็วขึ้นทันที แถมมีตัวละครหลักและรองเพิ่มมาหลายตัวต้องจับตาให้ดีว่าตัวไหนคือใครและมีบทบาทอะไร แต่แอบเสียดายที่กลุ่มตัวละครหลักที่มีบทบาทพอหนังจบกลับรู้สึกว่าแทบจะไม่รู้จักตัวตนอะไรเลย แล้วด้วยชื่อเรื่องขุนพันธ์ ซึ่งเป็นหนังแฟนตาซีผสมเข้ามาตั้งแต่ภาคแรก มีเรื่องของคาถาอาคมและไสยศาสตร์มาเกี่ยวข้องทำให้สนุกตื่นเต้น จึงเป็นโอกาสที่ CG จะเข้ามามีบทบาทเมื่อตัวละครปล่อยของกัน ส่วนของโปรดักชันก็ดีขึ้นเยอะความปลอมจากภาคแรกลดลงจนเกือบหายไปหมด ไม่ดูสุกเอาเผากินเหมือนภาคแรกแล้ว จากเส้นเรื่องที่ยุ่งเหยิงและวุ่นวายจากตัวละครที่มากมายและพล็อตเรื่องที่ทับซ้อนกันไปมานั้น พี่โขมสามารถจับเอาทั้งหมดมาขมวดปมในช่วงโค้งสุดท้ายได้ในที่สุด แต่พอถึงช่วงที่ก่อนจะเข้าเส้นชัยจริง ๆ กลายเป็นว่าทุกเส้นที่มัดรวมกันไว้ปรากฎว่าปลายมันแตกจนดูมั่วไปหมดกับการใส่ทุกอย่างและใส่บางอย่างที่ไม่คิดว่าจะใส่มาเพื่อปล่อยของในตอนจบที่ทั้งโหวกเหวกและวุ่นวาย

ติดให้ **

              Creed III” การกำกับฯ ครั้งแรกของ “ไมเคิล บี. จอร์แดน” พร้อมกลับมารับบท อโดนิส ครีด ในผลงานตอนที่ 3 ของแฟรนไชส์ยอดนิยม  หลังจากที่สร้างอิทธิพลให้โลกของการชกมวย อโดนิส ครีดประสบคามสำเร็จทั้งด้านอาชีพการงานและชีวิตครอบครัว เมื่อเพื่อนวัยเด็กและอดีตนักมวยที่ไม่ธรรมดาอย่างดาเมียน (โจนาธาน เมเจอร์ส) ได้รับการปล่อยตัวหลังจากการถูกขังในเรือนจำเป็นเวลานาน เขาอยากพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคือผู้คู่ควรกับสิ่งเหล่านั้น การเผชิญหน้าระหว่างเพื่อนเก่ามีสิ่งที่มากกว่าการต่อสู้ ในการทำคะแนนครั้งนี้อโดนิสเอาอนาคตตัวเองมาเดิมพัน เพื่อต่อสู้กับดาเมียน ผู้เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับสิ่งใด หนังนำแสดงโดย เทสซ่า ธอมป์สัน, โจนาธาน เมเจอร์ส, วู้ด แฮร์ริส, ฟลอเรียน มันทีนู พร้อมนักแสดงหน้าใหม่ มีล่า เคนท์ และ ฟิลีเซีย ราแชด

              เรื่องการเเสดงทุกตัวละครเข้าถึงบทบาทดีมาก สีหน้า ท่าทาง อารมณ์ ไม่ว่าฉากเศร้า ดึงดรามา หรือฉากเเสดงความโกรธแค้น งานภาพถือว่าดีงามตามมาตรฐานเลย ไม่ว่าจะเป็นมุมกล้อง วิวเมือง เเต่ที่ต้องชมคือ งานภาพตอนนักมวยเปิดตัวกับฉากต่อสู้บนเวที เป็นฉากเด็ดจริง ๆรับรู้ถึงความเท่ ความยิ่งใหญ่ ความเเค้น หรืออารมณ์ต่าง ๆ ได้อย่างดี ส่วนดนตรีประกอบทำออกมาได้มันส์เเละดุดัน เหมาะกับความเป็น LA ของหนังมาก ๆ เป็นหนังต่อยมวยก็ต้องพูดถึงคิวบู๊ ก็มีอยู่ 2 ช่วงด้วยกัน ซึ่งตัวหนังทำออกมาได้เป็นเอกลักษณ์มาก ๆ เหมือนเอาภาพยนตร์มาผสมกับเกมต่อสู้ยังไงยังงั้นเลย  แต่เนื้อเรื่องค่อนข้างเเห้งถึงจะเป็นหนังภาค 3 ก็ไม่จำเป็นต้องดูภาค1-2 มาก่อนก็เข้าใจเนื้อเรื่องได้ หนังเริ่มต้นด้วยการพูดถึงความสัมพันธ์ของตัวเอกในวัยเด็กตัดสลับกับเหตุการณ์เมื่อ 2 ตัวเอกกลับมาเจอกันเ โดยหนังใช้เวลาปูเรื่องความสัมพันธ์พร้อมคำถามเกี่ยวกับปัญหาความสัมพันธ์ค่อนข้างนานอย่างกับว่าจะเป็นประเด็นใหญ่ เเต่ก็ไม่เลยครับ หนังกลับคลี่คลายปมที่ผูกไว้ง่าย ๆ เสียงั้น

ติดให้ *** ครึ่ง

              “หุ่นพยนต์” กำกับภาพยนตร์โดย ไมค์-ภณธฤต โชติกฤษฎาโสภณ(ผู้กำกับหนัง 100ล้าน จากภาพยนตร์พี่นาค1 ถึง พี่นาค3)  นำแสดงโดย ภูวิน-ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน, อัพ-ภูมิพัฒน์ เอี่ยมสำอาง, นิก-คุณาธิป ปิ่นประดับ, เจมส์-ภูริพรรธน์ เวชวงศาเตชาวัชร์,  เอมี่-ทสร กลิ่นเนียม, ฮัท-ศิววงศ์ ปิยะเกศิน, เอ็ดดี้เฮง-สมยศ มาตุเรศ, กาโต้-ปัณณวิชญ์ พัฒนศิริ, ยูโร-วรัชต์ธิปต์ กิตติสิริไพศาล, แบงค์-ณฐวัฒน์ ธนทวีประเสริฐ, แบงค์-พงศกร มีชัย, เซน-จตุรวิชญ์ เชี่ยวประสิทธิ์, ปราชญ์ ปราชญ์รวี สีเขียว บอกเล่าเรื่องราวของความเชื่อและความไม่เชื่อ เดินเรื่องผ่านตัวละครอย่าง ธาม, เต๊ะ, นิก ที่มีชีวิตมาเป็นเดิมพัน เพราะถ้าเล่นกับความงมงาย ท้าทายกับศรัทธา ต้องกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่มองไม่เห็น! บอกผ่านกิเลสความจริงของมนุษย์ที่มีด้านมืดแฝงตัวอยู่

              หนังมีตัวละครรองเยอะเกินความจำเป็น แล้วยังทำให้ตัวละครหลักถูกลดบทบาทลง เพราะต้องเอาเวลาไปให้กับตัวละครรองให้ได้ออกมามีส่วนร่วมกับเรื่องราว ยังดีที่หนังออกแบบตัวละครรองกลุ่มนี้ได้อย่างมีเอกลักษณ์และมีสีสันจนไม่ได้เป็นปัญหาในการจดจำ  แล้วดูเหมือนหนังจะตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาทางไหนดีระหว่างตื่นเต้น ระทึกขวัญ สยองขวัญ และตลก เพราะว่ามีครบหมดทุกรสที่ว่ามา แถมยังสับสนปนเปจนอารมณ์สะดุดไปแทบทั้งเรื่อง ไม่ค่อยโอเคกับเรื่องราวและแนวทางของหนัง แต่ในช่วงโค้งสุดท้ายเป็นอะไรที่ไม่คาดคิดว่าจะทำออกมาทรงนี้ จากที่ไม่ชอบก็ดึงความรู้สึกขึ้นมาได้หน่อยนึง เพราะว่า…แหมมม พูดมากไปกว่านี้ไม่ได้ เอาเป็นว่าไปรอดูกันเองแล้วกัน  ส่วนแก่นแท้ของเรื่องพูดถึงศาสนา ศรัทธา และความเชื่อ ถ้ามีใครสักคนที่ใช้ศาสนา ศรัทธา และความเชื่อไปเป็นเครื่องมือในการสร้างประโยชน์ให้ตนเอง ทำตัวเป็นเหลือบเป็นมารศาสนา กอบโกยผลประโยชน์ให้ตัวเอง สิ่งนี้น่ากลัวกว่าสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติเสียอีก น่ากลัวกว่าผู้ทรงศีลในผ้าเหลืองกอดแม่ผู้ให้กำเนิดเสียอีก

ติดให้ **

Related posts