ตำรวจไซเบอร์ รุกหนัก จับ 60 ล้าน..คุ้มครอง ช่วยดูแลปกป้องประชาชนถูกหลอกถูกโกงในสื่อออนไลน์ สินค้าไม่ได้มาตรฐาน-อันตราย ไม่ได้รับของ หรือไม่เป็นตามโฆษณาไว้ในเว็บไซด์ เปลี่ยนของไม่ได้

ตามนโยบาย ผบ.ตร. ให้เน้นการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งกำลังมีเพิ่มมากขึ้น และตามนโยบาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการร่วมมือปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีนั้น

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.63 เวลา 11.00 น. พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.), พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง ผบก.สอท.3, พล.ต.ต.วัชรินทร์ บุญคง ผบก.ปส.2, พ.ต.อ.ธนันชัย เพียรช่าง รอง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา, พ.ต.อ.ยิ่งยศ พลเดช ผกก.สภ.สีคิ้ว จว.นครราชสีมา, พ.ต.อ.เกรียงไกร รับงาม ผกก.1 บก.สอท.3 และ พ.ต.อ.นิคม ชัยเจริญ ผกก.กก.3 บก.สอท.3 ร่วมกันแถลงข่าว ดังนี้

สืบเนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชนเป็นจำนวนมากว่า สินค้าที่สั่งซื้อผ่านทางออนไลน์เป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ได้รับตามที่โฆษณาไว้ในเว็บไซด์ต่างๆ

ในการนี้ พล.ต.ท.กรไชยฯ ผบช.สอท. จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ออกตรวจสอบ เฝ้าติดตาม สืบสวนและหาข่าว จับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการสั่งซื้อและนำเข้าสินค้าผ่านสื่อออนไลน์ที่มิได้เสียภาษี หรือนำเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร หากพบการกระทำผิดให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีตามกฎหมาย

ต่อมาเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.63 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับเบาะแส และได้ทำการตรวจสอบหาต้นทางของสินค้าที่นำมาจำหน่ายทางช่องทางออนไลน์ โดยพบว่า มีการลักลอบขนส่งสินค้าที่มิได้เสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ครบถ้วน เข้ามาในราชอาณาจักร โดยมีการนำเข้ามาทาง จ.มุกดาหาร และ จ.นครพนม โดยใช้ยานพาหนะ รถกึ่งพ่วงบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ และรถบรรทุกสิบล้อ จำนวนทั้งหมด 3 คัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ร่วมกันเฝ้าติดตาม  จนเมื่อมาถึงเขต อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา บริเวณถนนทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ หมู่ที่ 5 ต.ลาดบัวขาว อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา จึงได้ส่งสัญญาณให้ยานพาหนะทั้ง 3 คันดังกล่าวหยุด เพื่อร่วมกันทำการตรวจสอบ จากนั้นให้ผู้ควบคุมยานพาหนะ เป็นผู้นำตรวจสอบภายในรถบรรทุกและตู้คอนเทนเนอร์ จากการตรวจสอบพบสินค้าหลายรายการ อาทิเช่น โดรนบังคับ น้ำหอม กระเป๋าแบรนด์เนม อุปกรณ์ทางการแพทย์ ฟิล์มกรองแสง รองเท้า แบตเตอรี่ เป็นต้น โดยมีมูลค่าสินค้าร่วมกว่า 60 ล้านบาท

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ตรวจสอบใบเสร็จรับเงินจากกรมศุลกากรและใบขนส่งสินค้าขาเข้า พร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม พบว่า มีบริษัทแห่งหนึ่งเป็นเจ้าของสินค้า จากการตรวจสอบเอกสารดังกล่าว พบรายการสินค้าในใบขนส่งสินค้ากับสินค้าภายในตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าวไม่ตรงตามเอกสาร และสินค้าดังกล่าวมีอักษรของภาษาต่างประเทศทั้งหมด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการไม่ปฏิบัติตามหรือฝ่าฝืนกฎหมาย

เนื่องจากรายละเอียดสินค้าที่บรรทุกมีแหล่งกำเนิดจากประเทศจีนนั้น กฎหมายกำหนดให้สินค้าที่สั่งนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขายกำหนดให้เป็นสินค้าควบคุมฉลาก และต้องแสดงฉลากเป็นภาษาไทย

ทั้งนี้ ผู้ควบคุมยานพาหนะให้การว่า ตนเป็นเพียงคนขับรถโดยรับจ้างจากบริษัทด้านโลจิสติกส์แห่งหนึ่ง และนำเอกสารสัญญาว่าจ้างขนส่ง ลงวันที่ 1 ก.พ.63 มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อตรวจสอบ  จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจยึดจึงทำการตรวจยึดสินค้า เพื่อแจ้งให้เจ้าของสินค้านำเอกสารเกี่ยวกับสินค้ามาแสดง และร่วมตรวจสอบสินค้าพร้อมเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจยึด เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ในการตรวจยึดครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจยึด จึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับบริษัทซึ่งเป็นเจ้าของสินค้าดังกล่าว ในความผิดฐาน

1. ร่วมกันมีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้าที่เครื่องหมายการค้าปลอมของบุคคลซึ่งได้จดทะเบียนไว้ในราชอาณาจักร พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534

2. ร่วมกันนำเข้าสินค้าที่ยังไม่ได้ผ่านพิธีการศุลกากร

3. ร่วมกันสำแดงเท็จ

เพื่อให้ได้รับโทษตามกฎหมายต่อไป

สมชาย/อ๊อด..รายงาน

Related posts