วันนี้ 31 ตุลาคม 2568 เป็นวันที่ 4 ที่อยู่สตอกโฮล์ม แต่วันนี้เช็กเอาต์เพื่อย้ายไปพักย่านเมืองเก่าติดริมทะเล โดยเลือกพัก Hotel Reisen In The Unbound Collection By Hyatt เราพัก 4 คืน โรงแรมฉาบด้วยสีเหลืองอ่อนเห็นเด่นสบายตาตั้งอยู่ริมถนน และเดินไม่ไกลก็ถึงท่าเรือเพื่อนั่งเรือข้ามฟากโดยใช้บัตรโดยสาร SL ซึ่งเราขึ้นรถเมล์ขณะย้ายโรงแรมก็สะดวกแค่ต้องยกกระเป๋าก็ไม่ได้ยุ่งยากเลย
ซึ่งใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ก็มาถึงโรงแรมประตูของโรงแรมก็เปิดอัตโนมัติ พอเห็นบันไดหลายขั้นก็ร้องโอ๊ะ! ทว่าพนักงานชายเร่งรีบมาต้อนรับพร้อมช่วยยกกระเป๋า 2 ใบขึ้นบันได 4 ขั้นราวกระเป๋าของเราเบาหวิว ก่อนพาพวกเราไปเคาน์เตอร์เช็กอิน โดยพนักงานชายคนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพช้า ๆ คุณสามีฟังเข้าใจว่าเรามาก่อนเวลาแต่ให้เช็กอินได้ ซึ่งตามขั้นตอนเช็กอินปกติของโรงแรม เมื่อได้คีย์การ์ดก็จะเข้าสู่การรักษาความปลอดภัยของโรงแรมขั้นแรกโดยคีย์การ์ดจะขึ้นไปชั้นของผู้พัก เราพักชั้น 5 ลิฟต์ตรงขึ้นชั้น 5 ไม่แวะชั้นอื่น เมื่อเข้ามาในห้องก็โอเค ที่ชอบสุดคือมีหน้าต่างทั้งสองฝั่ง โดยมีเตียงอยู่ตรงกลางระหว่างหน้าต่างสองฝั่งแถมเปิดได้ด้วย ด้วยเรามาเที่ยวหน้าหนาวแอร์ไม่ทำงานจึงต้องเปิดหน้าต่าง โรงแรมแรกก็ต้องเปิดเพื่อระบายอากาศไม่งั้นหายใจไม่สะดวกสำหรับเรานะ ส่วนภายในห้องมีอุปกรณ์ครบครันตามแบบฉบับโรงแรมห้าดาวเพียงแค่ห้องเล็กกว่าลักษณะคล้ายห้องใต้หลังคาประมาณนั้น จะเล่าว่าทีวีที่นี่ถ้าจะดูช่องของประเทศเขาดูได้ แต่ถ้านักท่องเที่ยวอยากดู Youtube, Prime Video NETFLIX ก็ให้เข้ารหัสของตัวเองหากแต่ทางที่พักมักเตือนว่า เวลาเช็กเอาต์ก็อย่าลืมออกจากระบบด้วย สำหรับเราเลือกดูทีวีปกติด้วยกลัวลืมออกจากระบบ
จากที่สำรวจถือว่าเป็นห้องที่หรูและดีพร้อม พร้อมด้วยอาหารเช้าคงต้องเล่าพรุ่งนี้ว่าเป็นอย่างไร หลังจากเราทำธุระส่วนตัวกันเสร็จก็ออกไปรับลมหนาวท่ามกลางริมชายหาด อากาศจะเย็นกว่าในเมืองใหม่เพราะติดทะเล เราเดินเรียบริมหาดเพื่อสูดอากาศเข้าปอดขณะชื่นชมความงามสะอาดของบ้านเมือง ริมหาดมีร้านเบอร์เกอร์รี่กาแฟเปิดบริการตกแต่งน่านั่งแต่ไม่มีเวลานั่งชิล ๆ เพราะอยากเอาเวลาไปเที่ยวดูวันฮาโลวีน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ออกมาดูฮาโลวีนไกลบ้านก็ได้เห็นเด็ก ๆ มีพ่อแม่จูงมือบางคนแต่งหน้าเข้ากับเทศกาลดูเป็นผีน้อยน่ารักมากกว่าน่ากลัวกำลังขึ้นจากเรือหลายครอบครัว คุณสามีเลยหาข้อมูลได้ความว่า มีเกาะใกล้ ๆ ที่นั่งเรือเบอร์ 82 ใช้เวลาไปกลับไม่นานเราจึงตัดสินใจนั่งไปที่เกาะ Djurgården
ก่อนจะขึ้นเรือเราเปิดแอป SL ในมือถือเพื่อสแกนก็สะดวกดี ขอเล่าสั้น ๆ การใช้ SL ในการเดินทาง เช่น รถเมล์ก็แค่สแกนตอนขึ้นหากจะลงก็กด STOP มีติดไว้ที่เสาบนรถแทบจะทุกมุมที่ผู้โดยสารนั่งไม่เหมือนบ้านเราต้องลุกขึ้นมาแล้วกดปุ่มเพื่อให้คนขับรถรู้ว่าจะลงป้าย หรือนั่งรถ TRAM ก็ทำแบบเดียวกัน ส่วนรถไฟใต้ดินสแกนตอนเข้าพอจะออกจากสถานีประตูจะเปิดอัตโนมัติ มีวันนึงประตูไม่เปิดตอนที่เราจะออกจากรถไฟใต้ดินทว่ามีเจ้าหน้าที่ของ SL มาคอยบริการอย่างรวดเร็วโดยพวกเราเปิด QR CODE ให้เจ้าหน้าที่สแกนแล้วจึงผ่านประตูออกมาได้ไม่มีปัญหา
กลับมาเรื่องนั่งเรือข้ามฟากไปลงที่เกาะ Djurgården จะบอกว่าคุณสามีไม่รู้ว่าเกาะนี้มีสวนสนุก “Gröna Lund” (ก็ค้นหากูเกิลซึ่งมีคำตอบให้เสมอ) เป็นสวนสนุกเก่าแก่ในสตอกโฮล์ม ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลของเกาะ Djurgården ทำพวกเราตื่นเต้นเมื่อเรือเทียบท่าแล้วมองเห็นเครื่องเล่นพร้อมเสียงกรี๊ดของผู้คนที่อยู่บนเครื่องเล่นผาดโผน จะบอกว่านั่งเรือมาไม่นานแค่ 15 นาที และเพิ่งเข้าใจว่าทำไมคนขึ้นเรือกันมาเยอะที่แท้มาเที่ยวสวนสนุกเพราะจัดงานฮาโลวีนที่นั่น
เมื่อก้าวขึ้นฝั่งรู้สึกตื่นเต้นกับบรรยากาศของฮาโลวีนที่เพิ่งได้สัมผัสครั้งแรก เห็นผู้คนที่ขึ้นเรือมาพร้อมกันต่างไปต่อแถวซื้อบัตรเข้าสวนสนุก มองไปอีกด้านเห็นร้านขายป๊อปคอร์นที่ถังใส่เป็นรูปฟักทองสีส้มบ่งบอกเทศกาล ส่วนพวกเราไม่ได้ต่อแถวซื้อบัตรเพราะวัยไม่ให้เล่นเครื่องเล่นผาดโผนแล้ว แต่เลือกนั่งทานเบอร์เกอร์กับเฟรนฟรายด์ที่ร้านสไตล์ท้องถิ่นส่วนหนึ่งหิวกับอยากได้บรรยากาศ เพราะร้านขายเหมือนในหนังฝรั่งที่ดูหลายเรื่องเป๊ะ
หลังจากเราสั่งอาหารเสร็จก็นั่งรอที่โต๊ะ โดยนั่งด้านหลังครอบครัวสี่คนแม่ลูกที่ยังมีความสุขในการกินท่ามกลางอากาศเย็นลมพัดเป็นพัก ๆ ซึ่งขณะที่รออาหารก็เห็นขบวนพาเหรดจัดแถวเข้าไปในสวนสนุก หรือแต่ละครอบครัวจูงบุตรหลานมาในธีมฮาโลวีนด้วยความน่ารัก เห็นชัดว่าเป็นเทศกาลที่ได้รับความสนใจของผู้คน เรายังตื่นเต้นตามแต่ไม่ลืมเก็บภาพมาฝาก จากที่เห็นผู้ที่โดดเด่นน่าจะเป็น BATMAN กับผีแม่ชีที่หนีจากโบสถ์มาอาละวาดในสวนสนุก
ขณะรออาหารมื้อเย็นคนขายก็น่ารักเปิดประตูข้างมาพยักหน้าบอกเพราะจำได้หน้าเอเซียมีแค่เราสองคนที่สั่งอาหาร เลยลุกไปรับ ส่วนซอสก็ทำเก๋มีขวดห้อยอยู่หน้าร้านไม่ต้องไปขอบ่อยบีบเองเลยตามสบาย โอ้อร่อย!! ไม่ใช่ไม่เคยทานเบอร์เกอร์กับเฟรนฟรายด์และโค้ก แต่ไม่เคยทานท่ามกลางบรรยากาศฮาโลวีนที่มีคนแต่งผีเดินไปมา ทำให้มื้อนี้ของเราทั้งฟีลและอิ่มสุขจนยิ้มไม่หุบขณะซัดเบอร์เกอร์จนเกลี้ยง คุณสามีไม่เชื่อว่าจะทานหมดเพราะชิ้นใหญ่และ เฟรนฟรายด์ก็เยอะคงฟีลกับบรรยากาศมารู้อีกทีหมดซะแล้ว ถึงได้ลุกพากันไปเก็บภาพด้านหน้าสวนสนุกที่ประดับตกแต่งในธีม HALLOWEEN IN SWEDEN ได้อย่างมีมนต์ขลัง

หลังได้เก็บภาพจนจุใจแล้วก็นั่งเรือข้ามฟากกลับแต่ยังไม่เข้าโรงแรมเลือกไปต่อจุดไฮไลต์ของเมืองเก่า คือการ ‘ขึ้นลิฟต์’ ที่สูงเท่ากับตึกหลายชั้น ถ้าเป็นช่วงเทศกาลคงมีนักท่องเที่ยวขึ้นไปเยอะ แต่เรามาช่วงอากาศเย็นแถมเป็นเวลาเย็นย่ำบริเวณระเบียงที่เป็นไฮไลต์มองลงไปจะเห็นเมืองเก่าที่ประดับไฟระยิบระยับ พวกเราโต้ลมถ่ายรูปอยู่สักพักก็เดินเตร่ ๆ สำรวจเห็นฝั่งโน้นเป็นย่านที่พักอาศัย ส่วนด้านบนมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือถ้าใครเป็นนักดื่มก็เหมาะพาคู่รักมาดื่มด่ำกับอากาศเย็นก็ได้ฟีลดี
เมื่อเก็บภาพเป็นความทรงจำจนพอใจแล้วก็พากันลง แต่จะบอกว่าลิฟต์ไม่ใช่ให้เฉพาะคนขึ้นน้องหมาก็ขึ้นได้โดยเจ้าของอุ้ม ซึ่งมักเห็นบ่อยคนรักหมาเยอะมากเจอทุกที่จูงน้องออกมาเดินเล่นแล้วพากลับด้วยรถไฟใต้ดิน หรือเรือข้ามฟากกลายเป็นเรื่องปกติของที่นี่ ครั้นลงมาถึงพื้นดินคุณสามีผู้นำทริปนี้ก็พาเดินข้ามสะพานแบบขาไปไปเรื่อย ๆ ลัดเลาะเข้าซอยเพื่อเข้าโซนเมืองเก่าที่วันนี้เป็นวันฮาโลวีนร้านค้าในตรอกสองฝั่งเป็นแนวยาว มีบางร้านยังเปิดให้นักท่องเที่ยวชอปสินค้าพื้นเมือง เช่น ม้าไม้ (มีออร์เดอร์จากพี่สาวให้ซื้อกลับ) ถุงผ้าลายเมืองเก่า, Magnet ติดตู้เย็นรูปตึกสามสีไฮไลต์เมืองนี้ พวกเราเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ส่องราคาก่อน ก็ส่องอยู่หลายร้านและดูวัสดุที่ทำพร้อมลวดลายความละเอียดก่อนจะตัดสินใจซื้อในวันถัดไปได้ราคา 400 sek (เรตที่แลก 3.382 คูณกันดูนะ) ขณะเดินตามตรอกสองฝั่งยังคงสว่างไสว หนำซ้ำในร้านอาหารหรือร้านพิซซาก็มีนักท่องเที่ยวนั่งทานอาหารไปด้วยคุยกันไปด้วย ซึ่งต่างจากเราเดินเอื่อย ๆ ต้องเดินเอื่อยเพราะทางเดินทุกที่เป็นเนิน ช่วง 3 คืนก่อนนอนคุณสามีต้องทายาที่น่องให้ (ขอขอบคุณการดูแลเอาใจใส่ของคุณสามีทำให้เกิดฉาก ‘เราคุกเข่าขอคุณสามีแต่งงานอีกหนที่ The Stockholm Public Library ห้องสมุดสาธารณะสตอกโฮล์ม’ หลังจากคุกเข่าแล้วก็พูดเบา ๆ ขอให้คุณสามีช่วยดึงขึ้นหน่อยเพราะลุกไม่ไหว555)
เดินเอื่อย ๆ จนอยากพักขาเลยแวะ 7-ELEVEN ที่ผนังร้านฉาบสีน้ำตาลออกธีมเมืองเก่าดูเก๋แปลกตา แถมนักท่องเที่ยวในร้านน้อยมีที่ให้นั่งพักเอาแรงเลยซื้อน้ำหวานมาดื่มให้สดชื่นก่อนจะออกไปตะลุยฮาโลวีนต่อ พักจนโอเคแล้วเลยออกจากร้านเดินกลับใช้อีกเส้นทาง ทว่า ขณะยืนรอคุณสามีเก็บภาพบรรยากาศก็มีฝรั่ง 3 คนน่าจะไม่ใช่คนที่นั่นไม่งั้นคงไม่ถามเราว่า ‘รู้ไหมห้องน้ำอยู่ไหน’ เราบอกไม่รู้ ซึ่งเดินเที่ยวเป็นวันที่ 4 แล้วก็ไม่เคยเจอห้องน้ำสาธารณะเลย แต่ถ้าต้องการใช้แนะนำให้เข้าห้างตามที่ได้เล่าใน Ep 1 เมื่อตอบฝรั่งไปแล้วพวกเขาก็ไปถามคนอื่นที่น่าจะรู้ ส่วนพวกเราพากันกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อน
เช้าวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 เรามักตื่นเช้าทุกวันตั้งแต่วันแรกที่มาเพราะยังงงเวลาอยู่ ที่สำคัญตื่นมาตอบไลน์หลานสาวที่บอกว่าถึงโรงเรียนแล้วหรือกลับถึงบ้านแล้ว และญาติ ๆ ที่ทักกันทุกวันแม้เวลาจะห่างกัน เช้านี้เป็นเวลา 7 โมง คุณสามีตื่นมาเพื่อเตรียมไปทานอาหารเช้าของโรงแรม ต่างจาก 3 วันออกไปหาทานขณะไปเที่ยว เราทานง่ายไม่ใช่ลูกข้าวเลยเบอร์เกอร์คนละชิ้นก็อิ่มแล้ว เมื่อลงมาก็แจ้งพนักงานต้อนรับว่าอยู่ห้องไหน จากนั้นเธอก็ส่งไม้ต่อให้พนักงานชายอีกคนพาเราสองคนไปเลือกโต๊ะสองที่นั่งตามต้องการ แล้วค่อยถามว่าต้องการกาแฟหรือชาร้อน เพราะจะเสิร์ฟเป็นกาให้ดื่มให้หนำใจเลย ซึ่งพนักงานที่ดูแลเราชื่อ “BOZLUR RAHMAN” เป็นคนบังคลาเทศเราได้ถามชื่อเขาในวันที่ 2 เพราะประทับใจการดูแลของเขามาก แล้วพอ BOZLUR รู้ว่าพวกเราเป็นคนไทยก็บอกมีคนไทยทำงานที่นั่นแต่เป็นวันหยุด หลังผ่านไปวันที่ 3 ที่เราเข้าพักบัณฑิตก็มาทำงานและทำให้เลือดนักข่าวสูบฉีดแม้จะไปพักผ่อนก็อดสัมภาษณ์มาลงข่าวไม่ได้ ไปอ่านกันใน Asiamorning news ประวัติของบัณฑิตไม่ธรรมดาต้องลากเหล็กจนมือแตกยับก่อนวาสนาส่งให้กลายเป็นเศรษฐีตัวน้อยในสวีเดน
สำหรับอาหารเช้าที่โรงแรมถือว่าดีคุณสามีชม เพราะช่วงไปสวีเดนก่อนหน้าพักอีกโรงแรมก็หลายดาวทว่าอาหารที่นี่ก็ไม่แพ้ที่นั่นแถมพนักงานห้องอาหารก็บริการเยี่ยม ในมื้อของอาหารเช้าคุณสามีชอบชีสก็ทานเต็มที่ ส่วนเราชอบแพนเค้กเพราะชิ้นเบ้อเริ่มแถมแผ่นหนา เคยเจอแพนเค้กแผ่นบางไม่ค่อยชอบ และที่ต้องชมจากพนักงานสังเกตว่าเราชอบทานองุ่นดำแต่มีแปะไว้ในจานคู่กับชีส พอวันที่ 3 เราเห็นองุ่นดำใส่ชามไว้ต่างหากเลยตักมาทานซะหลายลูก เพราะชอบมากกว่าองุ่นเขียวที่ใส่ถาดผลไม้ไว้ให้ลูกค้า
นั่งทานอาหารเช้าจนอิ่มหนำก็ออกเที่ยวตามโปรแกรม โดยนั่งเรือเบอร์ 82 ข้ามฟากไป ที่เกาะ Djurgården เพื่อเที่ยวที่ “SKANSEN” ค่าเข้าคนละ 265 sek แต่จะเล่าว่าตอนแรกต้องใช้เครื่องแปลภาษาไม่งั้นซื้อผิดไปซื้อบัตรรายปีแย่เลย ค่าเข้าเป็นบัตร ONE DAY PASS ที่นั่นจัดฮาโลวีนช่วงเย็นด้วย สำหรับ SKANSEN เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งแรกของสวีเดน เปิดให้บริการครั้งแรกในปี ค.ศ. 1891เพื่อจำลองวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวสวีเดนในอดีต นอกจากนี้มีสัตว์ท้องถิ่นและเรียนรู้วัฒนธรรมสวีเดน พวกเราใช้เวลาอยู่ในพิพิธภัณฑ์หลายชั่วโมงเพราะตั้งใจก่อนไปว่าจะไปเที่ยวแต่ละที่ในหนึ่งวันไม่อยากเร่งรีบ อากาศดีเลยเดินเที่ยวสบายไม่เหนื่อยแม้ต้องขึ้นเนิน แต่เสียดายอดดูโชว์แมวน้ำตอนบ่าย 2 มัวไปอยู่ที่แปลงสวนกุหลาบนาน หนำซ้ำเราดันลืมมือถือโชคดีที่ครอบครัวที่มานั่งข้างเราแล้วเราชมลูกชายเขาน่ารัก โดยคนเป็นพ่อได้นำมือถือที่เราลืมไว้มาคืนให้ ก็ตกใจเลยไม่กล้าหยิบออกมาถ่ายรูปปล่อยหน้าที่เก็บภาพให้คุณสามีแทน
แล้วจะบอกว่าได้เจอคนไทยด้วย เธอเปิดร้านขายอาหารในพิพิธภัณฑ์ เธอทักว่า ‘คนไทยใช่มั้ยคะ’ ก็ประหลาดใจปนดีใจที่ได้เจอคนไทย ซึ่งคงแว่วเสียงตอนคุยกับคุณสามีว่าเอารูปให้ดูตอนสั่งอาหารแล้วกัน ครั้นพอตกเย็นผู้คนก็นำอาหารออกมาปิ้งย่างเพราะสถานที่ได้เตรียมเตาย่างไว้หลายมุมดูสนุกดี ที่เห็นเขานำออกมาย่างก็พวกไส้กรอก เนื้อสด มาชเมลโล่ แต่เราไม่มีอะไรย่างเลยเก็บภาพความสุขของพวกเขามา แล้วไม่ต้องห่วงเรื่องห้องน้ำที่นั่นมีไว้บริการ เที่ยวจนเย็นย่ำก็พากันกลับโรงแรมเก็บแรงไว้เที่ยวพระราชวังและดูเปลี่ยนแถวทหารวันพรุ่งนี้
เหลือเวลาพักที่โรงแรมอีก 3 วัน วันนี้เป็นวันที่ 2 พฤศจิกายน ถือเป็นวันที่ 6 ในการเที่ยวพวกเราตื่นลงไปทานอาหารสายทำให้ออกมาเที่ยวหน้าพระราชวังก็ 10.30 น. แต่ไม่เป็นไรวันนี้เที่ยวรอบ ๆ นี้และได้ม้าไม้เป็นของฝากพี่สาว แต่ก็ต้องเจ็บใจเพราะดันไปเจอม้าไม้ขายในมินิมาร์ทราคาถูกกว่าเยอะ คุณสามีเลยซื้อกลับมา 1 ตัว 175 sek จากซื้อร้านทำมือตัวละ 400 sek ก็ว่าถูกกว่าร้านอื่นแล้วนะ เฮ้อ
สำหรับที่เที่ยวเมืองเก่าคือตรอกที่เที่ยววันแรกที่มาถึงเพียงแต่มาเก็บภาพตอนกลางวันก็สวยแปลกตาอีกแบบ จะบอกว่าเดินเที่ยวตอนกลางคืนก็ไม่น่ากลัวแม้แต่สะพายกระเป๋าเป้ด้านหลังก็ไม่ต้องผวาจะมีโจรมากระชากไป จากเดินเที่ยวหลายวันอย่างสบายใจและมีความสุขจนถึงวันกลับไทย

ด้วยความที่เดินแบบเอื่อยเฉื่อยทำให้ทันดูการเปลี่ยนแถวทหารในช่วงบ่าย ไม่ใช่แค่เราที่รู้สึกตื่นเต้นและอยากดู รวมถึงนักท่องเที่ยวก็ยืนออกันเพื่อดูการเปลี่ยนแถวทหารที่เท่แถมทหารหล่อด้วย หลังจบการแสดงเปลี่ยนแถวทหาร พวกเรายังมีภารกิจอีกอย่างคือ การตามหาเยลลี่ผสมเหล้า ซึ่งคุณสามีได้กลับไปเป็นของฝากตอนมาสวีเดนครั้งแรก พี่สาวทานแล้วชอบเลยออร์เดอร์ จากที่เที่ยวมา 6 วันก็ไม่หยุดตามหา คุณสามีเลยพานั่งรถเมล์เข้าเมืองเพื่อไปตามหาเยลลี่ผสมเหล้า พร้อมกับซื้อเสบียงมาตุนไว้ตอนดึกเผื่อหิว ก่อนกลับเข้าโรงแรม
ทริปเที่ยวในวันที่ 3 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่ 7 ของการเที่ยวที่นั่น และเราก็ได้เจอกับบัณฑิตคนไทยที่อยู่สวีเดนมายี่สิบกว่าปี น้องบริการดูแลและชงกาแฟให้ดื่มอย่างใส่ใจในบริการแต่พิเศษเพราะเราเป็นคนไทยเหมือนกันทำให้คุยกันถูกคอ กระทั่งอิ่มท้องก็ไปเที่ยว Vasa Museum พิพิธภัณฑ์เรือวาซา ซึ่งบัณฑิตเล่าเป็นเรื่องขำว่า แขกถามผมไปเที่ยววาซามาหรือยัง บัณฑิตบอกไม่เคยไปแต่พอถูกถามหลายครั้งเลยไปและรู้ว่าเราจะไปเที่ยววันนี้ก็บอกในนั้นหนาวนะพี่ ค่าบัตรผ่านประตูคนละ 195 sek การเดินทางของเรานั่งเรือเบอร์ 82 มาลงที่เกาะ Djurgården แล้วเดินไปแต่คนละทางกับไป SKANSEN เมื่อผ่านเข้าประตูมาก็ต้องถอดเสื้อกันหนาวตัวนอก ก็ไหนบัณฑิตบอกหนาวไงพวกพี่ร้อนเหงื่อซึม555 ขอเกริ่นสั้น ๆ Vasa Museum พิพิธภัณฑ์เรือวาซา เป็นสถานที่เก็บรักษาเรือที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นเรือรบที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในสมัยนั้น แต่ด้วยการคำนวณที่ผิดพลาดทำให้เรือจมลงตั้งแต่ออกเดินทางครั้งแรก ได้เห็นกับตาถือว่าเก็บรักษาอย่างดีดูยิ่งใหญ่และมีมนต์ขลังกับกลิ่นอายย้อนอดีตอบอวลอยู่ ด้านในนอกจากมีเรือรบก็โชว์ชุดนักดำน้ำที่ลงไปงมเรือและผู้เสียชีวิตขึ้นมา ถือเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งที่ 2 ที่ไม่ควรพลาดเลย
เราใช้เวลาซึมซับในพิพิธภัณฑ์นานพร้อมกับฝากท้องที่ห้องอาหาร ราคาอาจแพงนิดแต่ขณะทานได้มองวิวและเรือที่จอดเรียงรายก็สบายตาและสบายท้อง ที่สำคัญมีห้องน้ำเลยเข้าวนหลายรอบก่อนจะไปเที่ยวต่อที่ Ostermalms Saluhall ตลาดเอิสเตอมาล์มส เพื่อจุดประสงค์ตามหาเยลลี่ผสมเหล้า จากที่คุณสามีหาข้อมูลว่ามีขายที่นั่น แล้วเราก็เจอซะที! โดยร้านที่มีเยลลี่ผสมเหล้าขายก็คือร้านที่เราถ่ายรู้มาวันแรกที่ไปเพราะร้านตกแต่งธีมฮาโลวีนน่ารัก แต่เราไม่ได้ถามคนขายเลยต้องไปอีกรอบ แต่ก็ไม่เสียเวลาเพราะได้ชอปของฝากที่ Hemkop Supermarket ซึ่งอยู่อีกฝั่ง จากนั้นก็พากันกลับโรงแรมอย่างสบายใจที่ตามหาของจนเจอจนได้
วันนี้เป็นวันที่ 4 พฤศจิกายน และเป็นวันที่ 8 ของการเที่ยวในสตอกโฮล์ม ทว่าเป็นวันต้องเช็กเอาต์แล้วย้ายเข้าไปพักในเมืองใหม่เพื่อสะดวกต่อการเดินทางไปสนามบินเพราะใกล้กว่าที่นี่ หลังจากเราทานอาหารเช้าเรียบร้อยก็เอ่ยลาบัณฑิต ที่ก่อนหน้าน้องก็ชงกาแฟอร่อย ๆ ให้ดื่มแถมด้วยบริการดีไม่แพ้เพื่อนต่างชาติอย่าง BOZLUR ขณะกล่าวลาก็รู้สึกเศร้าทั้งเรากับบัณฑิตและ BOZLUR ซึ่ง BOZLUR เศร้ารอบ 2 เพราะก่อนหน้าเพื่อนเขาที่มาจากบังคลาเทศก็เพิ่งลากันไปหลังทานอาหารเสร็จ
“มิตรภาพหาได้ทุกที่ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ” ยอมรับว่าเรากับคุณสามีเศร้าจริง ๆ กับการกล่าวลาเพื่อนทั้งสอง ก็หวังว่าจะได้เจอกันอีกอย่างที่ BOZLUR และบัณฑิตบอก
แต่ก่อนจะเช็กเอาต์ตามเวลาของโรงแรม คุณสามีค้นหาเจอ “Zero Point” และอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมเลยพากันเดินกลางร่มท่ามกลางฝนปรอย ๆ เมื่อไปถึงก็วนหาอยู่สักพัก แต่ก็ได้เจอ ทว่าเสียดายพื้นที่ถูกปิดไม่ให้เข้า พวกเราดีใจที่เจอแม้จะเห็นห่าง ๆ ก็เถอะ เมื่อได้พบจุดหมายที่ต้องการแล้วก็กลับมาเตรียมเช็กเอาต์ โดยวันนี้เราได้ซื้อ SL 3 วันเพราะบัตร 7 วันหมดเมื่อวาน รอพบกัน EP 3 จะพาไปเที่ยวสะพานมงกุฏค่า
