หนังดีติดดาว***

หนังดีติดดาว***

            “THREE THOUSAND YEARS OF LONGING ปาฏิหาริย์ตะเกียงวิเศษ 3,000 ปี” โดยผู้กำกับ จอร์จ มิลเลอร์ พร้อมเขียนบทร่วมกับ ออกัสต้า กอร์  ซึ่งหนังนำแสดงโดย ทิลดา สวินตัน, ไอดริส เอลบา, เปีย ธันเดอร์โบลต์, เบิร์ค ออซเติร์ค  เรื่องราวโรแมนติก/แฟนตาซี ของ  อลิเธีย บินนี่ (ทิลดา สวินตัน) เป็นหญิงสาวแปลกแยกที่ไม่เคยเข้ากับใครได้เลย เธอจึงมุ่งมั่นที่จะเป็นนักวิชาการผู้ปราดเปรื่อง แม้จะต้องแลกด้วยความโดดเดี่ยวในชีวิต จนกระทั่งเธอตัดสินใจเดินทางไปพักผ่อนที่เมืองอิสตันบูล แล้วได้พบกับตะเกียงรูปร่างประหลาด ซึ่งแท้จริงแล้วมันได้เก็บซ่อนขุมพลังแห่ง จินน์ (ไอดริส เอลบา) ยักษ์วิเศษที่อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ไขไปสู่อนาคตของพวกเขาทั้งคู่

            หนังจะค่อย ๆ เฉลยเรื่องราวและจะค่อย ๆ พูดถึงพรที่ถูกข้อมาในเเต่ละช่วงเวลาในอดีต เรียกได้ว่าต้องใจเย็นพอสมควรเลยว่าหนังพยายามจะสื่ออะไร เพราะสามารถตีความไปต่าง ๆ นานา เเต่พอถึงบทสรุปก็รู้สึกว่าหนังมันมีเสน่ห์มาก รู้สึกว่าตาผู้กำกับเเกกล้ามากที่ทำงานแบบนี้ออกมา ด้านงานภาพก็สวยงามตามมาตรฐานถึงจะมีบางจุดลวก ๆ ไปบ้างก็ไม่หงุดหงิดใจ แต่ที่ต้องชมอีกอย่างคือ sound design ที่ทำออกมาได้ลงตัว มีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองและเพิ่มอรรถรสในการรับชมได้ดีมาก ๆ  สุดท้ายอยากบอกอีกรอบว่ามันเป็นหนังที่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่มเหมือนกัน อาจไม่ได้เหมาะกับทุกคน ยิ่งถ้าเป็นคนที่ชอบดูอะไรแบบเคลียร์ ๆ อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมนัก เเต่สำหรับหนังที่กล้าในการวางโครงเรื่องเฉพาะตัวแบบนี้ มีวิธีการเล่าแบบนี้ มีบทแบบนี้ ถ้าคุณเป็นคนรักภาพยนต์ก็ควรค่าแก่การดูเป็นที่สุด

ติดให้ ****

              “Decibel ลั่นระเบิดเมือง” กับเรื่องราวของแผนการโจมตีครั้งสำคัญ เมื่อเป้าหมายหลักในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่อดีตผู้บัญชาการทหารเรือได้รับสายปริศนาขู่จากผู้ก่อการร้ายที่ต้องการยึดเมือง และเดิมพันสำคัญคือระเบิดที่ถูกตั้งด้วยเสียง ซึ่งเมื่อไหร่ที่เสียงดังถึง 100 เดซิเบล ทุกสิ่งจะต้องถูกทำลาย เตรียมตัวลุ้นสุดขีดเสียงกับปฏิบัติการหยุดเดซิเบลที่เดิมพันด้วยชีวิตคนนับหมื่น 

              หนังเปิดมาเหมือนหนังสืบสวนสอบสวนมีความคลุมเคลือเเละก็ไม่มีอะไรเลย 555555 ไม่รู้จักคนร้าย ไม่รู้เหตุผล อยู่ดี ๆ ตัวร้ายติดต่อมาเเล้วโยนโจทย์มาเเล้วให้ตัวเอกทำตามสิ่งที่สั่ง ซึ่ง ใช้เวลาปูเนื้องเรื่องไม่นานก็เข้าสู่เเกนหลักของเรื่องคือ การกู้ระเบิดตามโจทย์ของตัวร้าย การตัดสินใจว่าจะไปสถานที่ไหนก่อน ทำออกมาได้ลุ้นระทึกสลับตลก เพราะหนังมีตัวละครโจ๊ก ๆ ที่จะคอยผ่อนอารมณ์คุณดูเป็นพัก ๆ  กับบทสรุปของเรื่องก็ค่อนข้างโอเค เเต่รู้สึกว่าจะเน้นไปในภาระกิจกอบกู้ระเบิดอย่างที่พล็อตวางไว้ ไม่ค่อยได้ให้น้ำหนักกับหลักฐานหรือรายละเอียดที่ทำให้คนดูได้คิดว่าคนร้ายเป็นใครเท่าที่ควร โดยรวมเเล้วเป็นหนังที่ดูสนุก มีดรามาสไตล์เกาหลี มีแอ็กชันสลับตลก ถึงจะไม่ได้สุดจัดที่คิดจนหัวจะปวดแบบเเนวสืบสวนหรือแอ็กชันยิงกันโครมครามเลือดสาด เเต่ก็ดูเพลินตามสไตล์หนังป๊อปคอร์นทั่ว ๆ ไป

ติดให้ **

            “BONES AND ALL” ผลงานโดยผู้กำกับ ลูกา กวาดาญีโน (“Call Me by Your Name”) ที่เพิ่งคว้ารางวัล Silver Lion for Best Director ในงาน  2022 Venice Film Festival  โดยนำเสนอเรื่องราวของรักแรกระหว่าง มาเร็น (เทย์เลอร์ รัสเซล) สาวน้อยที่ต้องเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดในสังคมที่แตกต่างและ ลี (ทิโมธี ชาลาเมต์) คนเร่ร่อนที่ไร้สิทธิใด ๆ และเก็บกด… พวกเขาได้ร่วมทางกันนับพันไมล์ จนนำไปสู่ถนนลึกลับและกับดักในยุคอเมริกาสมัยโรนัลด์ รีแกน แต่ถึงแม้พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ทุกสิ่งยังพาพวกเขาหวนกลับไปหาอดีตที่เลวร้าย และต้องหนักแน่นว่าความรักของพวกเขาจะเอาชนะความแตกต่างได้

              คือหนังถ่ายภาพและคุมโทนแสงกับสีได้ละเมียดละไมมาก ๆ ไม่ว่าจะฉากในบ้าน ในเมือง หรือตามชนบท มันสวยไปหมดทุกที่ ซึ่งดูขัดกับความเป็นมนุษย์กินคนของตัวละครที่พร้อมจะมีฉากเลือดสาดกัดกินเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ได้ตลอดเวลา แต่ก็มีฉากที่เห็นกันชัด ๆ ว่ากัดกินเนื้อจนถึงฉากที่ใช้เสียงขบเคี้ยวมาสร้างความสะพรึงให้ต้องเผลอจิกเท้าโดยไม่รู้ตัว และการเดินทางของตัวละครในยุคอเมริกาสมัยโรนัลด์ รีแกน เป็นประธานาธิบดี ทั้งคู่ผ่านเมือง ผ่านรัฐมากมายเพื่อตามหาแม่และเรียนรู้กันและกันไปตลอดทาง ตลอดเส้นทางตัวละครเติบโตในทางความคิดอ่าน แต่ผู้กำกับจงใจวางตัวละคร มาเร็น ให้เป็นคนนอกของสังคม เป็นเด็กที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหนในสังคม ซึ่งเธอกับพ่อต้องย้ายบ้านหนีไปเรื่อย ๆ เมื่อเธอก่อเรื่องขึ้น ในขณะที่ ลี ก็เป็นเด็กบ้านแตกที่มีปัญหาจนต้องออกมาใช้ชีวิตเร่ร่อนตามลำพัง มันคือเรื่องของคนที่ไม่มีตัวตนในสังคมมาพบกันแล้วจับมือกันออกเดินทาง พร้อมกับเรียนรู้กันและกันบนเส้นทางของชีวิต แต่จะไม่ชอบตรงจังหวะการเล่าเรื่องจะอืด ๆ เอื่อย ๆ และอีกอย่างนึงก็คือบทพูดของตัวละครมันดูประดิดประดอยมากไปจนไม่เป็นธรรมชาติเท่าไร

ติดให้ ****

              Jeepers Creepers: Reborn โฉบกระชากกลับมาเกิด” การกลับมาของอสุรกายตัวร้ายที่ฟื้นคืนชีพอีกครั้งหลังจาก 23 ปี พร้อมรถบรรทุกเชฟวี่ที่ทุกคนคุ้นเคย พาหนะสังหารคู่กายสนิทเขรอะและคราบเลือดจากร่างศพผู้โชคร้าย มันไล่โฉบล่าหัวผู้คนในงานเทศกาลสยองขวัญ เดอะ เฮอร์เรอร์ ฮาวด์ ที่จัดขึ้นเป็นแห่งแรกในหลุยส์เซียน่า ท่ามกลางบรรดาแฟน ๆ เดนตายหนังสยองขวัญจากทั่วทุกสารทิศที่มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ซึ่งไม่มีใครเคยหนีมันพ้น!

              ช่วงแรกของหนังดูมีความหวังนิดหน่อย เพราะปูเรื่องและแนะนำตัวละครคือ ดูมีอะไรที่น่าติดตามและน่าค้นหา อีกทั้งยังมีการใช้กิมมิคล้อเลียนหนังสยองขวัญขึ้นหิ้งหลายเรื่องก็ให้แอบยิ้ม แต่ความน่าสนใจค่อย ๆ ลดลงเมื่อหนังใส่เกียร์เดินหน้าเล่าเรื่องราวด้วยเส้นเรื่องที่เต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผล ตัวละครหลักและตัวละครรองที่คิดและทำอะไรไร้สาระ ในขณะที่ตัวปีศาจร้ายก็เริ่มต้นได้น่าสนใจ แต่ทำไปทำมาก็หาเหตุผลไม่ได้ว่า ทำไมต้องฆ่าและฆ่าเพื่ออะไร ส่วนความสยองขวัญไม่ปรากฏ เพราะมันไม่ใช่หนังน่ากลัว ที่จริงแล้วมันเป็น slasher movie ที่มีผู้ร้ายเป็นปีศาจที่ไร้ที่มาที่ไป แล้วมีมนุษย์โง่ ๆ กลายเป็นเหยื่อให้ล่า แต่ทั้งเวลาไล่ล่าและเวลาหนีเอาตัวรอดคือไร้ความตื่นเต้นโดยสิ้นเชิง สอบตกในทุกแง่มุมของหนังที่จัดอยู่ในหมวด horror  

เลยไม่ติดสักดาว

              “บัวผันฟันยับ” เล่าเรื่องราวของ บัวผัน สาวแกร่งแห่งหมู่บ้านหลังเขาแห่งหนึ่งที่เก่งกล้าสามารถในสายบู๊เสียจนผู้ชายและผู้ใหญ่ในหมู่บ้านไม่ชอบขี้หน้า และด้วยชื่อเสียงในทางนี้เองก็เลยทำให้ ขาม ชายหนุ่มรูปงามพร้อมแม่ได้เดินทางมาถึงที่เพื่อขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ประจวบกับเป็นช่วงเวลาที่ แก๊งซากุระคลั่ง ที่เป็นกลุ่มทหารญี่ปุ่นที่เพิ่งจะแพ้สงครามโลกได้ออกปล้นชาวบ้านร้านช่องจนมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ บัวผันและทีมงาน ตลอดจน ขาม จึงต้องร่วมมือกันขจัดภัยในครั้งนี้เพื่อปกป้องชาวบ้านให้ได้

              เป็นหนังที่มีตัวละครมากสลับกันเข้ามามีบทบาทกับเรื่องราว ซึ่งล้วนแล้วแต่ป่วน กวน ฮา กันทั้งนั้น หนังมีเรื่องราวที่ต้องเล่าแต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่จะเล่าไม่ได้มีความสำคัญเท่ามุกที่จะยิง เพราะหนังอัดแน่นด้วยมุกตลกหน้าตายที่ขำบ้างไม่ขำบ้าง ด้านตัวละครหลักก็เป็นสายป่วนผสมเฮฮา ตัวละครรองก็มาแบบรองจริง ๆ คือแทบไม่มีบทบาทอะไรกับเรื่องราว มีเพียงแต่ดาหน้ากันเข้ามายิงมุก พอเสร็จแล้วก็สลับเอาตัวละครอื่นในกลุ่มเดียวกันเข้ามายิงมุกต่อ และเรื่องราวที่หนังจะเล่านี่ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมาก ปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปกับจังหวะการยิงมุก แล้วคุณจะสนุกไปกับหนังได้สบาย ๆ มาที่โปรดักชันพอใช้ได้ มีปลอมแบบมักง่ายหลุดมาบ้าง ส่วนโลเคชั่นก็โอเค ไม่รู้ไปถ่ายทำที่ไหนกันบ้าง แต่ทุกอย่างที่เห็นมีความย้อนยุค แต่ก็มีพลาดที่ของบางอย่างในความเป็นจริงมันยังไม่ถูดคิดค้นหรือประดิษฐ์ขึ้นมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สุดท้าย CG ลอยและปลอมหนักมากจริง ๆ

ติดให้ **

              เฉลยคำถามจากภาพยนตร์เรื่อง “OMG! รักจังวะ..ผิดจังหวะ” : วงศ์รวี นทีธร และเพลินพิชญา โกมลารชุน

              เฉลยคำถามจากภาพยนตร์เรื่อง “แถวตรง แสบอีหลี” : มินทร์ธิรา ธีรภูมิรัชพงศ์

            เฉลยคำถามจากภาพยนตร์เรื่อง “Black Adam” : ดเวย์น จอห์นสัน

              คำถามจากภาพยนตร์เรื่อง “บัวผันฟันยับ” : นักแสดงคนใดรับบท “บัวผัน”?

ทราบคำตอบเขียนใส่ไปรษณียบัตร พร้อมชื่อ- ที่อยู่ – เบอร์โทรศัพท์และคำตอบให้ชัดเจน ส่งมาที่คอลัมน์

#หนังดีติดดาว

 32/15 ซอยลาดพร้าว 23 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

ขอขอบคุณ “เอ็ม พิคเจอร์ส” ที่สนับสนุนรางวัลทายปัญหา 4 รางวัล

              SICK OF MYSELF” เมื่อ ซิกนี และ โทมัส คู่รักที่กำลังตกอยู่ในความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียด ที่ต่างคนต่างอยากเอาชนะกัน ความสัมพันธ์เริ่มเลวร้ายขึ้นเมื่อจู่ ๆ โทมัสก็กลายเป็นศิลปินร่วมสมัยผู้มีชื่อเสียง ซิกนีจึงพยายามกอบกู้สถานการณ์อย่างสิ้นหวังด้วยการสร้างตัวตนใหม่ที่พร้อมจะดึงดูดความสนใจและความเห็นใจจากทุกคน

              ในหนังตัวละคร ซิกนี เป็นตัวเดินเรื่อง มีอาการทางจิตที่เรียกว่าเป็นพวก Narcissism หลงตัวเอง / ผสมกับ Pathological lying โกหกโดยควบคุมตัวเองไม่ได้ มันคือธีมหลักของหนังและสะท้อนให้เห็นว่าคนที่มี 2 อาการนี้จะมีวิธีคิดและการกระทำอย่างไร แล้วถ้าอาการมันหนักมาก ความคิดและการกระทำมันก็สุดโต่ง ส่วน โทมัส คู่รักเป็นตัวคอยพยุงเรื่องราวพร้อมกับตัวประกอบมากมายที่สลับกันเข้ามาสร้างสีสัน รองรับอารมณ์ ตลอดจนรับผลจากการกระทำแบบสุดโต่งของนางเอก ซึ่งชอบที่หนังตัดสลับภาพของสิ่งที่ตัวละครหลักคิดแบบเพ้อฝันว่า ชีวิตเธอนั้นสวยหรูเลิศเลอ แต่ตบหน้าเธอและคนดูด้วยภาพความเป็นจริงว่า เธอล้มเหลว ผิดหวัง ขี้อิจฉา หลงตัวเอง โดย หนังมีความดาร์คคอมเมดี้พอสมควร หลายฉากก็ตีแสกหน้าค่านิยมของสังคมแบบไม่บันยะบันยังผ่านความคิดและการกระทำอันบิดเบี้ยวของนางเอก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เออ…สังคมมันก็ยึดถือความปลอมอะไรแบบนี้แหละ สำหรับหนังมีความยาวราว ๆ ชั่วโมงครึ่ง เป็นช่วงเวลาที่ไหลลื่นไปกับเรื่องราวถึงแม้ว่าเส้นเรื่องจะขยับได้ด้วยการพูดด้วยภาษาที่แทบจะฟังไม่ออกเลย แต่กลับได้ความบันเทิงพร้อมแง่คิดดี ๆ ให้ชีวิต

ติดให้ **** ครึ่ง

              Toxic คดีเปิดโปงสารพิษร้าย ภัยเร้นหายนะข้างตัว” เล่าเรื่องราวจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้เมื่อ 17 ปีก่อน เมื่อประชาชนในประเทศเกาหลีต้องประสบกับโรคปอดประเภทหนึ่ง ซึ่งอาการแรกเริ่มของมันมาจากปอดที่เต็มไปด้วยพังผืด ก่อนแปรสภาพแข็งเป็นหินและเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว จนต่อมาโรคประหลาดนี้ก็ได้เกิดขึ้นกับครอบครัวของ นายแพทย์จองแทฮุน (คิมซัง-คยอง) ที่พบว่าลูกชายที่แข็งแรงของเขา จู่ ๆ ก็ล้มป่วยเฉียบพลัน และร้ายแรงกว่านั้นก็คือภรรยาของเขา ฮันกิลจู (ซอยอง-ฮี) ได้เสียชีวิตอย่างกะทันหัน ทำให้เขาและ อัยการฮันยองจู (อีซอน-บิน) ผู้เป็นน้องสาวของฮันกิลจู จึงต้องช่วยกันค้นหาเบาะแสที่นำไปสู่ต้นตอชวนสยองและผู้ร่วมชะตากรรมคนอื่น ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในสังคมเกาหลีมานานหลายปี แต่กลับไม่มีใครกล้าที่จะออกมาแฉเรื่องนี้ ก็เพราะมันอาจต้องแลกด้วยชีวิต

              หนังผูกเรื่องให้ตัวละครหลักเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์นี้และเป็นผู้รวบรวมตัวละครประกอบที่เป็นผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกัน โดยตัวละครประกอบจะสลับกันเข้ามาเพิ่มดรามาให้เหตุการณ์ดูน่าเห็นใจมากขึ้น หนังคุมโทนตรงนี้ได้กำลังดี เพราะถ้ามากไปก็จะออกไปในทางฟูมฟายจนน่ารำคาญ  ส่วนดรามาจะเห็นภาพความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากผลกระทบในช่วงแรกพอกลางเรื่องเป็นช่วงของ courtroom drama อาจจะน้อยไปสักหน่อย ถ้าใครชอบแนวนี้อาจจะไม่เต็มอิ่มเท่าไร แต่ช่วงที่ฟาดฟันกันในศาลด้วยตัวบทกฎหมายมีน้อยและไม่ค่อยมีพลังนัก ทำให้รู้สึกดูทีเล่นทีจริงเกินไป แล้วในช่วงท้ายไปเน้นเรื่องความฉ้อฉลของผู้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องและความจำกัดของระบบที่ไม่สามารถจัดการปัญหาที่มีผลกระทบกับประชาชนในวงกว้าง เมื่อจิ๊กซอว์ทุกตัวต่อกันจนครบก็จะเห็นภาพใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อ 17 ปีที่แล้ว แล้วมีอะไรเกิดขึ้นตามมาจากเหตุการณ์นั้นในตอนจบ

ติดให้ **

              Remember แค้นเดือดคนดุ” พิลจู คือชายชราวัย 80 ที่เคยเผชิญหน้ากับความสูญเสียทุกสิ่งอย่างกับอดีตของประวัติศาสตร์ที่ญี่ปุ่นเคยเข้ายึดครองเกาหลีในช่วงสงครามอัปยศ และนั่นเป็นชนวนเหตุที่เขาคิดจะแก้แค้นบุคคลที่เคยทำให้เขาต้องเจ็บปวดและทนทุกข์มาตลอดหลายปี โดยที่ อินกยู หนุ่มรุ่นราวคราวหลานของเขา ได้เข้ามาช่วยเหลือทำให้แผนการครั้งนี้ของเขาได้ลุลวง

              หนังไม่ได้เสียเวลาแนะนำตัวละครเอาแค่ให้พอรู้ว่า 2 ตัวละครหลักเป็นใคร มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร แล้วหนังจะตัดสลับเอาเหตุการณ์ในอดีตมาเล่าควบคู่ไปกับเส้นเรื่องในปัจจุบัน เพื่อเติมเต็มเรื่องราวและดันให้เดินหน้าต่อ ซึ่งชอบที่หนังใช้ตัวละครไม่มาก แต่สามารถผูกเรื่องราวให้เดินหน้าได้สนุกและระทึกขวัญ แถมยังเชื่อมโยงตัวละครหลักและรองได้อย่างมีเหตุผล ซึ่งไม่ว่าจะฝ่ายออกล่าหรือฝ่ายที่ถูกล่าก็ให้มิติความเป็นมนุษย์หมดว่า เคยทำอะไรไม่ดีไว้ในอดีต แต่ในขณะเดียวกันชีวิตในปัจจุบันก็เป็นคนที่ต้องทำมาหากิน มีครอบครัว มีคนรัก สังขารไม่เที่ยง สุขภาพย่ำแย่ แต่มีหลายฉากที่หนังจงใจตัดสลับคำพูด การกระทำ เรื่องราวในอดีตและปัจจุบันของตัวละครทั้ง 2 ฝ่ายออกมาเปรียบเทียบกันได้แบบทรงพลัง ทว่าก็มีไม่ชอบมุกตลกบางจังหวะที่เล่นเลยเถิดจนเกือบจะกลบความระทึกขวัญไป ดีที่ฉากที่ตามมามันตื่นเต้นจนดึงอารมณ์กลับเข้าโหมดเดิมได้ และไม่ค่อยชอบช่วงท้ายที่เล่นใหญ่และขายดรามามากไปนิด แต่โดยรวมถือเป็นการเปิดสัปดาห์ได้อย่างน่าประทับใจ ได้เจอหนังดีที่ควรค่าแก่การดู

ติดให้ ****

Related posts