หนังดีติดดาว***

           “มนต์รัก วัวชน” ผลงาน บริษัท เอ็ม เทอร์ตี้ไนน์ สำหรับ “เอกชัย ศรีวิชัย” ที่สร้างความอลังการในฐานะผู้กำกับพร้อมร่วมแสดง และขนนักแสดงมาเพียบอาทิ เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา, ไพศาล ขุนหนู, ตั๊กแตน ชลลดา, ตรี แสงมณี, ลิลลี่ เลิกคุยทั้งอำเภอ, อาภาพร นครสวรรค์, ปิยะพันธ์ นาคพิน, ยุทธนา บุญรัตน์, ธเนศพิพัฒ สุทธิหิรัญคำรงค์, มงคล สะอาดบุญญพัฒน์ ,สิตางศุ์ บัวทอง, สุริยวัตร หนูราม, อรรถพงษ์ สงแก้ว(บอล วงกลม), พนัชกร แท่นประมูล, พงศกร จันทรน้อย, เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น, นีโน่ สุดที่รัก, วชิราภรณ์ ม่วงหีต(อีอฟ ดอกฟ้า), สมพงษ์ จิตรเที่ยง(หลวงไก่), วีรยุทธ นานช้า(บ่าววี),เมญ่า ชันชัน, สายสิน วงษ์คำเหลา,ธนาวุฒิ เกสโร,สิทธินนท์ ไรจนเมธากุล(สิงหา) กับการถ่ายทอดเรื่องราวของ ไข่แคว็ด เด็กหนุ่มแห่งดินแดนด้ามขวาน ที่เติบโตมาท่ามกลางสมรภูมิวัวชน แต่พ่อของเขาซึ่งมีอาชีพเป็นชาวนาห้ามนักห้ามหนาว่าอย่ายุ่งกับวงการวัวชน ไข่แคว็ดเชื่อพ่อ ต่างจากไข่นุ้ยผู้เป็นพี่ชายที่เลี้ยง เจ้าน้ำตาล จนโตพอที่จะลงแข่งได้ เขาไม่รีรอจูงเจ้าน้ำตาลเข้าสนามวัวชนทันที โดยไม่ฟังคำห้ามปรามของพ่อและไข่แคว็ดแม้แต่น้อย ซึ่งศึกครั้งนี้จึงมีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน

              หนังมีตัวละครหลักและตัวละครรองมากเกินไป ตัวละครหลักมีเรื่องราวและความสัมพันธ์จนดูยุ่งเหยิงและวุ่นวายไปหมด ส่วนตัวละครรองแทบทั้งหมดมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือ ออกมาสร้างความตลกขบขันผ่านมุกที่ขำบ้างไม่ขำบ้าง หนังได้ เอกชัย ศรีวิชัย มากำกับ เชื่อว่าแกตั้งใจจะขายความเป็นปักษ์ใต้นั่นแหละ แต่น้ำหนักของประเด็นเบาบางมาก การเอากีฬาวัวชนซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่คนใต้ชอบมาเป็นจุดขาย แต่หนังจบแล้วก็ยังแทบไม่รู้จักและไม่ได้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับกีฬานี้สักเท่าไหร่เลย เรื่องของความตลกขบขันก็พอมีอยู่บ้าง บางฉากคือขำและจะขำมากขึ้นถ้าคุณเป็นคนใต้ แต่หลายฉากก็รู้สึกว่ายิงไม่ตรงเป้าเอาเลย แต่ในส่วนของความรัก ความโรแมนติกบอกเลยว่าเจือจางจนแทบไม่รู้สึก คือเสียของที่อุตส่าห์ตั้งชื่อเรื่อง มนต์รักฯ

ติดให้ *

              จากเกมส์สุดฮิตที่มียอดดาวน์โหลดกว่า 28 ล้านครั้งทั่วโลกสู่อนิเมะเปิดโลกผจญภัยเหนือจินตนาการ DEEMO : MEMORIAL KEYS  ดีโมผจญภัยเพลงรักแดนมหัศจรรย์” โดยผู้กำกับอย่าง จุนอิจิ ฟูจิซาคุ ผู้เคยฝากฝีมือการเขียนบท “Ghost in the Shell: Stand Alone Complex” มาทำหน้าที่กำกับในส่วนของการออกแบบคาแรคเตอร์รับหน้าที่โดย เมะบาชิ นักวาดผู้เคยออกแบบตัวละครให้กับ “Mitsuboshi Colors” “Shoujo Kageki Revue Starlight” นอกจากนี้เพลงประกอบยังได้ ยูกิ คาจิอุระ ผู้ที่เคยฝากผลงานไว้ในอนิเมชันชื่อดังมากมายอาทิเช่น ” Demon Slayer”, “Sword Art Online”, “Fate / Zero” มาช่วยดูแลเรื่องเพลงประกอบภาพยนตร์ด้วย กับเรื่องราวของ  อลิซ เด็กสาวที่ตกมาจากฟากฟ้าแม้เธอจะความจำเสื่อมแต่ไม่รู้ว่าทำไมเธอกลับรู้จักชื่อ DEEMO สุภาพบุรุษสีดำ เธอนึกชื่อของตัวเองขึ้นได้ราวกับถูกเสียงเปียโนของ DEEMO ปลุกให้ตื่น และรอบข้างของอลิซมีตุ๊กตาที่ชื่อว่า มิไร ตุ๊กตาเดอะนัทแครกเกอร์ และถุงหอมลอยได้กลิ่น  ฟลุ้งคอยคุ้มครองเธอไว้อย่างอ่อนโยน เหล่าอลิซที่คิดว่าหากต้นไม้ที่เติบโตจากเสียงเปียโนสูงไปจนถึงยอดเพดาน จะทำให้เธอกลับบ้านของตนได้จึงเริ่มปฏิบัติการรวบรวมโน๊ตเพลงที่ถูกซ่อนเอาไว้ในปราสาท ทันใดนั้นทำให้อลิซพบกับหญิงสาวที่ซ่อนอารมณ์ของตัวเองไว้ภายใต้หน้ากาก เธอพูดกับอลิซว่า “ฉันเกลียดคนอย่างคุณ” เด็กสาวภายใต้หน้ากากกับอลิซมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกันแน่

              หนังแบ่งเส้นเรื่องออกเป็น 2 เส้น ด้วยการเปิดเส้นเรื่องที่มีความเป็นแฟนตาซีขึ้นมาก่อน แล้วถึงจะเปลี่ยนไปขยับเส้นเรื่องที่ดูเป็นโลกแห่งความเป็นจริง แล้วก็สลับกันเล่า ซี่งก็จะทำให้ค่อย ๆ ได้ข้อมูลทีละนิดจนปะติดปะต่อเรื่องราวที่เหมือนจะเป็นภาพสะท้อนระหว่างกันได้ ส่วนของดนตรีประกอบมีความไพเราะมาก ใครชอบดนตรีคลาสสิก ใครชอบเสียงเปียโน ทุกเพลงล้วนได้รับการคัดสรรมาอย่างดีให้เข้ากับบริบทและเรื่องราว ฟังไปดูไปปลดปล่อยจินตนาการและตีความกันไปเพลินเลยล่ะ เป็นหนังเด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดีเพราะไม่มีพิษภัยอะไรเลย มีแต่ความน่ารักของตัวละคร มีแต่ความน่าสนใจของเรื่องราว แล้วเมื่อทุกอย่างที่หนังต้องการนำเสนอถูกเฉลย คุณจะอิ่มเอมไปกับเรื่องราวและเดินออกจากโรงด้วยความประทับใจพร้อมรอยยิ้ม

ติดให้ **** ครึ่ง

              M Pictures ส่งความหลอนลั่นโรงกับภาพยนตร์ OX-HEAD VILLAGE หมู่บ้านผีดุ” ของผู้กำกับ “ทาคาชิ ชิมิซึ” กับเรื่องราวในหมู่บ้านคนหัววัว ตำนานสยองที่ผู้ใดได้ฟังจะต้องโดนคำสาปและทำลายล้างใครก็ตามที่หลงเข้ามาให้อยู่ในวังวนแห่งความวิปริต จนกระทั่ง คาน่อน (โคคิ) หญิงสาวที่ต้องพบเจอแต่เรื่องประหลาดหลังการหายตัวไปอย่างลึกลับของวัยรุ่นสาวคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นดวงวิญญาณปริศนาที่ติดตามเธอไปในทุกหนแห่ง หรือแม้แต่อมนุษย์ที่ใส่หน้ากากหัววัวชวนน่าสะพรึงกลัว ทำให้คาน่อนต้องมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านแห่งนั้น เพื่อหาทางแก้ไขคำสาปและไขความลับอันดำมืดก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

              ช่วงแรกของหนังเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก ด้วยปริศนาที่ทิ้งไว้ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง และการให้ตัวละครหลัก 2 ตัวค่อย ๆ เก็บข้อมูลและแกะรอยปริศนานั้นไปเรื่อย ๆ เป็นการกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเราได้ดีทีเดียว แต่เมื่อทุกอย่างเปิดเผยกลับไม่ได้รู้สึกเซอร์ไพรส์ ก็เพราะพอจะเดาได้อยู่แล้วว่ามันต้องมาทรงนี้  หนังมีความเป็นญี่ปุ่นอย่างแท้จริง แก่นของความน่ากลัวที่นำเสนอคือการผสมผสานกันของตำนานพื้นบ้าน เรื่องเล่าประจำเมือง และเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ แต่ทั้งหมดดูไม่เข้ากันและความน่ากลัวแทบจะเป็นศูนย์ ความยาวของหนังประมาณ 2 ชั่วโมง แต่หลายฉากหลายตอนที่ใส่เข้ามาดูแล้วเยิ่นเย้อ และไม่ได้มีความสำคัญกับเรื่องราวเลย

ติดให้ *

              วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส และจินตนาการของผู้สร้างภาพยนตร์ที่เข้าชิงรางวัล Oscar บาซ เลอร์แมน ส่งภาพยนตร์ ELVIS” ผลงานฟอร์มยักษ์ที่น่าตื่นเต้นที่จะสำรวจชีวิตและดนตรีของ เอลวิส เพรสลีย์ ที่ได้นักแสดง “ออสติน บัตเลอร์” มารับบทประชันฝีมือกับเจ้าของรางวัล Oscar อย่าง “ทอม แฮงค์ส”   ในเรื่องราวชีวิตของ เอลวิส เพรสลีย์ (บัตเลอร์) ถ่ายทอดผ่านมิตรภาพที่ไม่ราบรื่นกับผู้จัดการลึกลับ นายพันทอม ปาร์คเกอร์ (แฮงค์ส) โดยปาร์คเกอร์ถ่ายทอดเรื่องราวและภาพยนตร์เจาะลึกถึงความซับซ้อนระหว่างทั้งคู่ที่ยาวนานกว่า 20 ปี นับตั้งแต่ที่เพรสลีย์เริ่มมีชื่อเสียง จนเป็นดาราดังอย่างคาดไม่ถึง เรื่องราวที่ขัดแย้งทางวัฒนธรรมและการสูญสิ้นความไร้เดียงสาที่อเมริกา เหตุการณ์สำคัญและคนที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเอลวิสอย่างพริสซิลล่า เพรสลีย์ (โอลิเวีย เดอยองจ์)

              โดยหนังเล่าเรื่องราวชีวิตของ เอลวิส ตั้งแต่เด็กไปจนตายด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 39 นาทีผ่านมุมมองของตัวร้ายในชีวิตจริงนาม นายพันทอม ปาร์คเกอร์ ที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของนักร้องชื่อดังมาตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตการแสดง ก็เลยได้มุมมองของที่แปลกดีที่ผู้ร้ายเล่าเรื่องราวของพระเอก จริตแบบ บาซ เลอร์แมน ที่เน้นความอลังการและตัดต่ออย่างรวดเร็วและต่อเนื่องคือได้ผลมากในช่วงเปิดเรื่องไปจนถึงครึ่งเรื่องที่ชีวิตของตัวละครหลักอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่พอมาถึงช่วงที่มีอุปสรรคในชีวิตเข้ามา จริตที่ว่าคือฝืดที่ค่อนไปทางเหมือนทุกอย่างจะหยุดนิ่งไปพักนึงเลย ในส่วนผลงานเพลงของเอลวิสที่ใส่ในหนังคือเยอะมาก หลายเพลงเข้ากับเหตุการณ์และอารมณ์ของหนังเลย โดยรวมคือหนังเป็น Biopic ที่คาบเส้นจนเกือบจะเลยเส้นไปสู่ความเป็น Musical อยู่แล้ว คือถ้าตัวละครพูดอยู่แล้วขยับไปเป็นร้องเพลงก็คือใช่เลย เรื่องของงานสร้าง บอกเลยว่าอยู่ในขั้นวิจิตรตระการตา เป็นโปรดักชันที่ต้องยอมรับเรื่องความพิถีพิถันและละเมียดละไม สำหรับความวุ่นวายทางสังคมในอเมริกาในยุค 50’s – 60’s – 70’s. ที่นำเสนอ ถ้ามีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ทางการเมืองของอเมริกาช่วงนั้นจะดูหนังได้รู้เรื่องและสนุกขึ้น

ติดให้ ****

            คำถามภาพยนตร์เรื่อง “ELVIS” ใครรับบทเป็น เอลวิส เพรสลีย์ ในเรื่อง?

ทราบคำตอบเขียน ใส่ไปรษณียบัตร พร้อมชื่อ- ที่อยู่ – เบอร์โทรศัพท์และคำตอบให้ชัดเจน ส่งมาที่

คอลัมน์หนังดีติดดาว

32/15 ซอยลาดพร้าว 23 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

ขอบคุณ “วอร์เนอร์ บราเดอร์ส” ผู้สนับสนุนของรางวัลเล่นเกมทายปัญหา

              เรตติ้งแรก แลกความตาย ใน The Anchor เจาะข่าวผี” นำโดย “ชอนอูฮี” ร่วมด้วย “ชินฮาคยุน” และ “อีฮเยยอง”  เรื่องราวความระทึกและการค้นหาความจริงของปริศนาลึกลับกับเรื่องราวของ เซรา (ชอนอูฮี) ผู้ประกาศข่าวหญิง ที่ต้องเร่งทำผลงานในช่วงขาลง วันหนึ่งเธอได้เบาะแสจากหญิงสาวปริศนาที่กำลังจะถูกฆาตกรรม แต่แทนที่เธอจะรีบช่วยเหลือ เซรากลับเลือกที่จะเล่าข่าวนี้ขึ้นมาเป็นไฮไลต์ และปล่อยให้หญิงสาวปริศนากลายเป็นศพพร้อมกับลูกสาว การเล่าข่าวในครั้งนี้ทำให้รายการของเธอกลับมามีเรตติ้งพุ่งกระฉูด เซรากลับมาเป็นตัวแม่ของสถานีอีกครั้ง แต่ไม่นานเธอกลับเห็นภาพหลอนบ่อยครั้ง จนทำให้การรายงานข่าวของเธอผิดพลาดออกอากาศไปทั่วประเทศ อีกทั้งเธอไม่รู้เลยว่าความน่ากลัวบางอย่างกำลังตามหลอกหลอนและหวังทำลายเธอถึงชีวิต!!

              หนังเปิดเรื่องช่วงแรกเนือย ๆ กับการแนะนำตัวละคร แล้วใส่เกียร์เดินหน้าทันที การสร้างบรรยากาศที่อึดอัดและไม่น่าไว้วางใจคือดีมาก ไม่มีจังหวะผ่อนคลายอารมณ์ด้วยมุกตลกอีกเลย ทุกข้อมูลที่หนังโยนใส่มีความสำคัญหมด ไม่ว่าจะตัวละครหลักและรองที่ทุกการกระทำคือห้ามพลาด เก็บข้อมูลไว้ให้ดี เนื้อเรื่องมีลูกล่อลูกชนที่ใส่มาได้จังหวะเอามาก ๆ คือจงใจดึงความคิดเราให้ไปทางนึง แล้วตลบหลังด้วยการพลิกไปอีกทาง เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะปล่อยของจริงออกมาในครึ่งหลัง ถึงแม้จะผ่านจุดไคลแมกซ์มาแล้ว แต่ความสนุกก็ยังไม่แผ่วลง เพราะมันยังมีอะไรให้ลุ้นและติดตามต่ออีก แต่น่าเสียดายที่ในช่วงท้ายจงใจบีบประเด็นและลากเรื่องมากเกินจนรู้สึกว่าเสียของไปหน่อย เพราะเรื่องราวคุมโทนมาดีจะตลอดทั้งเรื่อง แต่มาเซ ๆ เป๋ ๆ เอาตอนท้ายซึ่งนอกจากความสยองขวัญและความตื่นเต้นยังสะท้อนภาพสังคมการทำงานในองค์กรใหญ่ที่มีการแข่งขันกันสูงอีกด้วย จนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าคนนี่น่ากลัวกว่าผีอีกนะเนี่ย

ติดให้ ****

              Don LEE(ดอน ลี) กลับมาผงาดอีกครั้งในภาพยนตร์ The Roundup บู๊ระห่ำ ล่าล้างนรก”  นักแสดงและทีมงานได้ฉลองใหญ่ที่ยอดขายตั๋วเร็วและแรงพุ่งทะยานไปกว่า 12 ล้านใบ กวาดรายได้มุ่งสู่ 100,000,000 US.  เป็นภาพยนตร์แฟรนไชส์แอ็คชันอาชญากรรมแดนเกาหลี ที่เล่าเรื่องราวของนายตำรวจระห่ำที่มีนามว่า มา ซอกโด หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจปราบแก๊งมาเฟียชาวจีนในภาคแรกไปเมื่อปี 2017 แล้ว คราวนี้เขาต้องมารับหน้าที่ในการตามล่าอาชญากรข้ามชาติที่ไปดักอุ้มเรียกค่าไถ่นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีอยู่ในเวียดนาม

              หนังมีความติดตลกอยู่พอสมควร มุกที่ยิงใส่คนดูจะมาแนวตลกร้ายและตลกหน้าตายที่ขำบ้างไม่ขำบ้าง ส่วนฉากแอ็คชันแนวบู๊ระยะประชิดมีอยู่เรื่อย ๆ เมื่อเส้นเรื่องเดินหน้าไป เรื่องราวก็มีอะไรให้ลุ้นอยู่พอสมควร เพราะเส้นเรื่องหักไปหักมานิดหน่อยและแตกแขนงออกไปตามตัวละครหลักและตัวละครรองที่สุดท้ายแล้วจะมาบรรจบกันแล้วเดินหน้าไปสู่จุดไคลแมกซ์ที่เป็นฉากแอ็คชันกลางถนน  บอกเลยไม่ต้องดูภาคแรกก็ได้ เพราะไม่ต่อเนื่องกัน แต่หยิบเอาตัวละครที่มีบทบาทในภาคต้นมาเป็นตัวละครรองในภาคนี้เท่านั้นเอง รวม ๆ แล้วเป็นหนังให้ความบันเทิงแบบลื่นไหลมาก ๆ ทุกข้อมูลผูกไว้ก่อนจะค่อย ๆ คลายคำตอบทีละนิด จนทุกประเด็นคลี่คลายหมดตอนจบ เป็นหนังที่ดูง่ายและมีความบันเทิงสอดแทรกแบบลื่นไหลตั้งแต่ต้นจนจบ

ติดให้ ****

              Operation Mincemeat พลิกแผนรบลวงโลก” นำแสดงโดย โคลิน เฟิร์ธ, แมทธิว แม็กเฟเดียน, รูบี เบนทอลล์  เล่าถึงเหตุการณ์จริงในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อังกฤษได้วางแผนลวงด้วยการส่งศพคนไร้ญาติที่อุปโลกน์ขึ้นมาว่าเป็นนายทหารระดับสูงที่ถือเอกสารลับสุดยอดว่าสัมพันธมิตรจะยกพลขึ้นบกที่กรีซให้ลอยไปขึ้นฝั่งที่สเปน อันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยสายลับทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งนี้ก็เพื่อให้การยกพลขึ้นบกจริง ๆ ที่เกาะซิซีลี่เป็นไปโดยสะดวกโยธิน

              ทุกความเคลื่อนไหวของเรื่องผ่านบทสนทนาระหว่างตัวละครที่ล้วนแล้วมีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เลยอาจจะดูยากสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ในประวัติศาสตร์สากลเพราะไม่ได้ปูพื้นฐานอะไรมาก และหนังไม่เน้นฉากรบแบบยิงกันสนั่นโรงนะ และพล็อตรองเป็นเรื่องส่วนตัวและความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักและตัวละครรอง เข้าใจว่าใส่มาเพื่อเพิ่มมิติความเป็นมนุษย์ให้กับตัวละครที่มีส่วนต้องแก้ไปพร้อม ๆ กับการวางแผนปฏิบัติการ แต่ผลที่ออกมาคือน่ารำคาญเพราะสุดท้ายแล้วมันแทบไม่มีน้ำหนักอะไรเลย แต่ขอชมโปรดักชันดี งานสร้างดูสมจริง เสื้อผ้า หน้าผม อุปกรณ์ ข้าวของเครื่องใช้ ทุกอย่างเหมือนได้ย้อนอดีตกลับไปในช่วงสงครามโลกจริง ๆ แม้แต่บรรยากาศก็ผ่าน แต่เสียดายจากเรื่องราวที่น่าสนใจเพราะเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้โลกไม่ตกอยู่ภายใต้ Nazi Jackboots มาได้ กลับกลายเป็นน่าเบื่อเสียงั้น

ติดให้ **

              The Last 10 Years  สุดท้ายและตลอดไป” จากฝีมือผู้กำกับ มิจิฮิโตะ ฟูจิอิ  บอกเล่าเรื่องราวของ มัตสึริ (นานะ โคมัตสึ) หญิงสาวที่พบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคร้ายยากเกินรักษาและจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 10 ปี เธอจึงตัดสินใจที่จะไม่มีความรักอีก กระทั่งเธอได้มาพบกับ คาซึโตะ (เคนทาโร่ ซาคากุจิ) ชายหนุ่มผู้สับสนในชีวิตจนเสียแรงจูงใจในการมีชีวิตอยู่ จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวความรักที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของทั้งคู่ไปตลอดกาล

              ซึ่งช่วงแรกปูเรื่องราวและแนะนำตัวละครให้พอได้รู้จักและเข้าใจ จากนั้นถึงจะค่อย ๆ ใส่รายละเอียดเมื่อเส้นเรื่องขยับเดินแล้วทุกรายละเอียดคือดี เพราะทำให้ได้รู้จักและเข้าใจตัวละครหลักทั้งสองตัว เนื้อหาได้เทน้ำหนักไปที่คนในครอบครัวและคนรักอย่างพอดิบพอดี ไม่เลี่ยนไปด้วยความรักระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาว ไม่ดึงดรามาจนเกินเมื่อพูดถึงคนในครอบครัว ส่วนประเด็นหลักต้องการบอกว่า เราทุกคนล้วนมีเวลาจำกัดที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่ที่เราจะจากไป แต่ถ้าหากว่ามีใครสักคนที่รับรู้ว่าชีวิตของตัวเองกำลังนับถอยหลัง โดยมีจุดจบเป็นเส้นตายที่ขีดรอไว้ในอีก 1 ทศวรรษข้างหน้า ถ้าเป็นคุณจะทำอย่างไรกับชีวิตและเวลาที่เหลืออยู่อย่างจำกัดกว่าคนอื่นนี้

ติดให้ **** ครึ่ง

              “Broker” ผลงานสุดละเมียดละไมของ ฮิโรคาสุ โคเระเอดะ ผู้กำกับชาวญี่ปุ่นที่นักดูหนังชาวไทยรู้จักและชื่นชอบกันดี (เจ้าของผลงาน Our Little Sister, Shoplifters) ครั้งนี้ถือเป็นการก้าวไปทำหนังเกาหลีครั้งแรกของโคเระเอดะ  ด้วยการทำหนังที่พูดถึงจิตใจของมนุษย์ที่ไม่อาจนิยามง่าย ๆ ด้วยคำว่า “ดี” หรือ “ชั่ว”  สร้างมาจากข่าวที่เกิดขึ้นจริงในเกาหลี พูดถึงคนที่ทำอาชีพนายหน้าเอาเด็กทารกที่พ่อแม่ไม่ต้องการไปขายต่อให้คนรวยที่ไม่สามารถมีลูกได้

              เป็นการเดินเรื่องอย่างช้าๆ ผ่านบทสนทนาระหว่างตัวละคร 2 กลุ่ม คือกลุ่มนายหน้าที่ออกเดินทางเร่ขายเด็กทารก และกลุ่มตำรวจที่แกะรอยมานานเพื่อจับตัวและปิดคดีนี้ ฉากจะตัดสลับเรื่องราวของทั้งสองฝั่งไปเรื่อย ๆ ต้องคอยปะติดปะต่อเรื่องราวกันเอง ซึ่งเป็นหนังดีมาก ๆ เพราะแก่นแท้ของเรื่องพูดถึงความหมายของคำว่า ‘ครอบครัว’ คือการที่คนกลุ่มหนึ่งที่มีความผูกพันกันทางสายเลือดได้มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน คอยช่วยเหลือเกื้อกูล เลี้ยงดูประคับประคองกัน และมีประเด็นหนึ่งที่ชอบมากคือ การที่เด็กคนหนึ่งเกิดมาบนโลกนี้เขาไม่สามารถเลือกพ่อแม่ได้ ผู้หญิงบางคนก็ไม่ได้มีความพร้อมที่จะเป็นแม่ ผู้ชายบางคนก็ไม่พร้อมที่จะเป็นพ่อ แต่เมื่อเด็กเกิดมาแล้วย่อมต้องได้รับคุ้มครองและการเลี้ยงดูที่ดี ดังนั้นวิธีที่จะปกป้องเด็กให้เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่ดีคือ หาพ่อแม่ที่พร้อมและรักเขาเหมือนพ่อแม่ที่ให้กำเนิด

ติดให้ **** ครึ่ง

Related posts