การกลับมาของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์”X-Men: Dark Phoenix : x-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์”

X-Men: Dark Phoenix : x-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์” ภาพยนตร์ผลงานการกำกับและเขียนบทของ ไซมอน คินเบิร์ก พร้อมด้วยทัพนักแสดงอีกคับคั่ง อาทิ โซฟี เทอร์เนอร์ (รับบท จีน เกรย์/ฟีนิกซ์), เจมส์ แม็คอะวอย (รับบท ชาร์ลส์ ซาเวียร์/โปรเฟสเซอร์ เอ็กซ์), ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ (รับบท อีริค เลนเชอร์/แม็กนีโต้), โคดี้ สมิท-แมคฟี (รับบท เคิร์ท แวกเนอร์/ไนท์คลอเลอร์), ไท เชอริแดน (รับบท สก๊อตต์ ซัมเมอร์/ไซคลอป), เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (รับบท เรเว็น ดาร์คโฮล์ม/มิสทีค), นิโคลัส ฮอลท์ (รับบท แฮงค์ แม็คคอย/บีสต์), อีแวน ปีเตอร์ส (รับบท ปิเอโตร แมกซิมอฟ/ควิกซิลเวอร์) เป็นต้น

 

1dark1     1dark3

 

สำหรับ ไซมอน คินเบิร์ก เป็นผู้อำนวยการสร้างและมือเขียนบทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดรายหนึ่งในแวดวงภาพยนตร์และโทรทัศน์ทุกวันนี้ เขาได้เขียนบทในภาพยนตร์เรื่อง Mr. And Mrs. Smith และ Sherlock Holmes รวมถึงอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Deadpool, The Martian และ Logan สำหรับซีรีส์เอ็กซ์เม็นนั้น เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างมาตั้งแต่ภาค First Class และเขียนบทในภาค Days of Future Past และ Apocalypse ในภาคนี้นอกเหนือจากหน้าที่ดังกล่าว เขาก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับ โดยจะย้อนกลับไปสำรวจเรื่องราวของเอ็กซ์เม็นดังที่เขาเคยทำมาแล้วเมื่อหลายปีก่อนในภาค X-Men: The Last Stand เมื่อปี 2006 ในบทสัมภาษณ์นี้เขาพูดถึงการโน้มน้าวใจผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อให้เขาได้มารับหน้าที่ใหม่ การนำประสบการณ์จากงานเดิมมาใช้ในการกำกับ และเรื่องที่น่าประหลาดใจที่สุดจากบทบาทล่าสุดของเขาในเส้นทางอาชีพนี้

 

1dark2     1dark4

 

“สำหรับผมแล้ว Dark Phoenix เป็นคอมิกที่ผมชอบมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของเอ็กซ์เม็น…หรืออันที่จริงคือในประวัติศาสตร์ของงานคอมิกเท่าที่เคยมีมาเลยครับ ผมได้รับโอกาสดีอย่างยิ่งในการเขียนบทและอำนวยการสร้างหนังแฟรนไชส์นี้ แต่เป้าหมายสูงสุดของผมในฐานะคนเล่าเรื่อง ก็คือสักวันหนึ่งผมอยากจะเป็นผู้กำกับ และผมรู้ว่าถ้าผมจะกำกับหนังซูเปอร์ฮีโร่ Dark Phoenix จะต้องเป็นตัวเลือกอันดับแรก ผมเริ่มต้นวางแผนเล่าเรื่องใน Dark Phoenix โดยเน้นให้ตรงตามเรื่องราวในคอมิกดั้งเดิมมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากที่ทำกันมาก่อนหน้านี้ และผมก็เริ่มจะคลำทางเจอ ผมจะไม่พูดว่าผมคิดหาทางแต่ผมคลำทางไปโดยสัญชาตญาณมากกว่า ผมต้องการให้เรื่องราวขับเคลื่อนโดยตัวละครมากขึ้น โดยเน้นไปยังการที่จีนแปรสภาพกลายเป็นดาร์คฟีนิกซ์ มันจำเป็นต้องมีความหนักแน่นสมจริงขณะเดียวกันก็ต้องเป็นหนังไซไฟด้วย เพราะมีพลังจากนอกโลกเข้ามาในตัวเธอรวมถึงมีการพูดถึงมนุษย์ต่างดาวและเรื่องราวข้ามกาแล็คซีด้วย แต่มันก็ยังต้องพูดถึงคนที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ รวมทั้งผลกระทบต่อคนในครอบครัว…เพียงแต่ว่านี่คือครอบครัวของเหล่าคนที่มีพลังพิเศษซึ่งเรียกว่าเอ็กซ์เม็นนั่นเอง

 

1dark5

 

เหตุผลที่อยากนำเรื่องนี้มาทำเป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกนั้น เพราะตอนที่ทำงานใน Apocalypse หรือหนังภาคอื่น ๆ ในจักรวาลเอ็กซ์เม็น ผมเองก็ไม่คิดไม่ฝันหรอกครับว่าหนังเรื่องแรกที่ผมได้กำกับจะเป็นหนังเอ็กซ์เม็น แค่ผมเริ่มจะสัมผัสโทนของหนังเรื่องนี้ได้ แล้วจากจุดนั้นผมก็เริ่มเห็นหนังเรื่องนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา โดยปกติแล้วผมจะไม่ทำแบบนั้นเวลาเป็นคนเขียนบท ผมสัมผัสได้ถึงตัวหนังและรู้วิธีการเล่าเรื่องราว ตลอดจนเข้าใจการเคลื่อนไหวของตัวละครทุกตัว แต่โดยปกติแล้วผมไม่ได้มองภาพที่ปรากฏในหนัง ผมทิ้งส่วนนั้นเอาไว้ให้ผู้กำกับ แต่ในกรณีนี้ เนื่องจากความรู้สึกและโทนของหนังผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ภาพของหนังก็เลยปรากฏขึ้นมาด้วย และเมื่อกระบวนการนี้เกิดขึ้น ผมก็เลยคิดขึ้นมาว่า ‘เรากำกับหนังเรื่องนี้ได้’ จู่ ๆ ผมก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นลูกที่ผมไม่สามารถส่งต่อให้คนอื่นได้ ซึ่งไม่เหมือนกับที่ผมเคยทำมาในฐานะคนเขียนบท

 

1dark7

 

สำหรับทีมนักแสดงเดิมนั้นเราได้ใช้โควตาหมดไปแล้ว ดังนั้นเราจึงต้องเซ็นสัญญาใหม่กับเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์, นิโคลัส โฮลต์, เจมส์ แม็คอะวอย และ ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ พวกเขาช่วยให้ผมมีความมั่นใจที่จะมากำกับหนังสเกลใหญ่ขนาดนี้เป็นผลงานเรื่องแรก พวกเขาสนับสนุนเต็มที่ให้ผมมากุมบังเหียนหนังเรื่องนี้ แม้กระทั่งเจนนิเฟอร์ก็ยังระบุเลยว่าเธอจะไม่เล่นหนังเรื่องนี้ถ้าหากว่าผมไม่เป็นคนกำกับ ดังนั้นการสนับสนุนจากนักแสดงจึงช่วยให้ผมรู้สึกว่า ‘โอเค ไม่ใช่แค่เรารู้สึกว่าควรทำเรื่องนี้ แต่นี่เราได้รับการสนับสนุนด้วย’ ผมคุ้นเคยกับจักรวาลนี้เป็นอย่างดี ผมรู้จักตัวละครเหล่านี้อย่างถ่องแท้ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก แล้วก็ยังได้นักแสดงที่ผมรู้จักดีมารับบทด้วย ผมรักพวกเขาและหลายคนก็กลายเป็นเพื่อนสนิทของผม ทุกคนช่วยให้ผมรู้สึกว่านี่คือเวลาและเรื่องราวที่เหมาะสมสำหรับการก้าวเข้ามารับโอกาสนี้ ส่วนการโน้มน้าวใจทุกคนถามว่าผมทำอย่างไรถึงได้โน้มน้าวใจผู้อำนวยการสร้าง ตัวผมเอง และที่สำคัญที่สุดคือทางค่ายหนังว่าคนที่ไม่เคยกำกับหนังสักเรื่องในชีวิตควรได้กุมบังเหียนแฟรนไชส์สำคัญที่สุดของ Fox ซึ่งไม่ได้กำกับโดย เจมส์ คาเมรอนน่ะหรือครับ…ผมต้องทำงานหนักมากเลยละ! ด้วยการนำเอาคลิปหนังและภาพนิ่งทางออนไลน์มาปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน ผมสร้างมู้ดบอร์ดและทำตัวอย่างหนังแบบจำลองขึ้นมาเพื่อนำเสนอบรรยากาศและงานภาพที่ผมต้องการ จากนั้นผมก็ได้ทีมทำภาพจำลองก่อนการถ่ายทำซึ่งเป็นคนทำภาพเคลื่อนไหวในฉากแอ็คชั่นต่าง ๆ มาช่วยทำตัวอย่างให้ผมเพิ่มเติม ผมอยากให้เห็นแนวทางของผมในการจัดองค์ประกอบภาพ แนวทางในการใช้กล้องและการเคลื่อนกล้อง ผมมีแม้กระทั่งตัวอย่างเพลงและดนตรีประกอบซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานของ ฮานส์ ซิมเมอร์ ก็น่าประหลาดดีครับเพราะสุดท้ายผมก็ได้ฮานส์มาเป็นคนแต่งดนตรีประกอบให้นั่นแหละ  แล้วผมก็ยังติดต่อไปหาคนที่ผมต้องการให้มาเป็นมือตัดต่อ ผู้กำกับภาพ ผู้ออกแบบงานสร้าง ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เนื่องจากผมเคยทำงานกับพวกเขาในฐานะผู้อำนวยการสร้างมาแล้ว ทุกคนเลยบอกว่า “โอเค ได้สิ ถ้าคุณจะทำหนังเรื่องนี้ เราก็เอาด้วย”

 

1dark6

 

ถามว่าทำงานเขียนบทแตกต่างไปจากการกำกับหนังเรื่องนี้ ถ้าในร่างแรกก็ไม่ต่างนะครับ ตอนเขียนร่างแรก ผมแค่อยากปล่อยจินตนาการให้โลดแล่นเต็มที่เพราะสิ่งหนึ่งที่ผู้กำกับต้องการก็คือบทที่ท้าทาย เป็นบทที่ยังไม่ได้ผ่านการสร้างขึ้นมา นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างแรก จากนั้นผมก็จัดการกับฉบับร่างเหมือนกับที่ผมเคยทำเสมอมา นั่นคือผมเริ่มคิดว่ามันเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนในความเป็นจริง มันอยู่ในขอบเขตของงบประมาณหรือขอบเขตของความเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน ซึ่งสองเรื่องนี้ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากเพราะสมัยนี้วิชวลเอฟเฟ็กต์มีศักยภาพสูงจนคุณสามารถถ่ายทำทุกอย่างกับบลูสกรีน จากนั้นคุณจะเนรมิตให้ตัวเองอยู่ในอวกาศก็ได้ มือเขียนบทในตัวผมเป็นผู้เขียนร่างแรกขึ้นมา แล้วผู้กำกับในตัวผมก็ทำงานในร่างที่สอง ส่วนผู้อำนวยการสร้างก็มาทำงานในร่างที่สาม เพราะผู้อำนวยการสร้างในตัวผมบอกว่า “เอาละ ถึงเวลาหั่นงบได้แล้ว! แต่ส่วนที่ท้าทายตรง การทำงานกับนักแสดงก็เหมือนกับที่เคยเป็นมาครับ ผมทำงานกับบทภาพยนตร์ได้สบายมากอยู่แล้ว ผมเคยทำงานกับผู้กำกับภาพและทีมงานเบื้องหลังมาก่อนในหลาย ๆ ส่วน งานทั้งหมดไม่ได้น่าหวั่นใจอะไร ส่วนวิชวลเอฟเฟ็กต์นั้น ผมก็เข้าใจภาษาของมันอยู่เพราะผมทำงานหนังที่ใช้วิชวลเอฟเฟ็กต์มาหลายเรื่อง งานโพสต์โพรดักชันก็แทบจะเหมือนกับที่ผมเคยทำมาในหนังเรื่องก่อน ๆ ความแตกต่างสำคัญก็คือคุณต้องอยู่ในกองถ่ายและควบคุมดูแลงานทุกวินาที เวลาเป็นผู้อำนวยการสร้าง คุณยังมีเวลาให้ออกไปคุยโทรศัพท์หรือเช็กโทรศัพท์ในระหว่างเทค เวลาเป็นมือเขียนบท คุณอยู่ในกองถ่ายเพื่อคอยช่วยแก้ปัญหา แต่คุณก็อาจไม่ต้องแก้ปัญหาอะไรเป็นเวลานานหลายชั่วโมงหรือบางครั้งถ้าโชคดีก็อาจเว้นว่างเป็นวัน ๆ แต่ถ้าคุณเป็นผู้กำกับ ทุก ๆ ช่วงระหว่างเตรียมถ่ายทำฉากต่อไป จะมีคนห้าคนรอถามคำถามคุณ คุณจะต้องพร้อมรับสถานการณ์ทุกเวลาตั้งแต่เปิดกองจนปิดกองทุก ๆ วัน ผมพบว่างานนี้ต้องอาศัยความอึดซึ่งไม่ใช่เรื่องจำเป็นเวลาทำงานอำนวยการสร้างและงานเขียนบท พอถ่ายทำผ่านไปได้หนึ่งสัปดาห์ผมพบว่าตัวเองเหนื่อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตอนเป็นผู้อำนวยการสร้าง ผมคิดอยู่ในใจว่า ‘เราต้องปรับแผนการนอนแล้ว’ แต่ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น สุดท้ายผมต้องเปลี่ยนรูปแบบการกินอาหารด้วย ผมไปพบนักโภชนาการและบอกเธอว่ามื้อเช้าผมกินอะไรบ้าง เธอบอกว่า ‘คุณกินผลไม้พวกนี้ตอนเช้าทำให้น้ำตาลในเลือดคุณพุ่งสูงขึ้น แล้วนั้นคุณก็จะหมดแรง’ ดังนั้นผมจึงต้องตัดน้ำตาลออก และเธอก็วางแนวทางในการกินอาหารให้ผมใหม่ ไม่ใช่เพื่อลดน้ำหนัก แต่เพื่อรักษาระดับพลังงานให้ยาวนานตลอดวัน เหลือเชื่อมากเลยครับเพราะมันช่วยเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปเลย ผมน่าจะต้องทำแบบนั้นไปตลอด แต่ก็ไม่หรอก ถึงยังไงครั้งต่อไปที่ผมทำงานกำกับ ผมก็คงต้องทำแบบนั้นอีกอยู่ดี

 

1dark8

 

ภาคนี้ตัวเอกของเรื่องนี้คือ โซฟี เทอร์เนอร์ ในบท จีน เกรย์ ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมอยากทำหนังเรื่องนี้และมาเป็นผู้กำกับก็เพราะผมได้ร่วมเขียนบท X-Men 3 และผมรู้สึกว่าเรายังไม่ได้ทำให้เรื่องราวของ Dark Phoenix เป็นศูนย์กลางของหนังเรื่องนั้น ผมนึกเสียดายมาตลอดที่เราไม่ได้มีโอกาสเล่าเรื่องนี้ให้เป็นตำนานของมันเอง ผมอยากเล่าเรื่องนี้ให้เป็นหนังไตรภาคถ้าทำได้นะ! อีกประการหนึ่งมันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้คนในชีวิตของเธอ เป็นคนในครอบครัวที่ต้องมารับมือกับผลสะท้อนกลับและผลร้ายอันเกิดขึ้นจากการที่เธอควบคุมตัวเองไม่ได้”

 

1dark9     1dark10

 

Related posts