หนังดีติดดาว***

หนังดีติดดาว***

             ทั้งสองเคมีในแววตาเข้ากัน เจนนา ออร์เทก้า (น้องเวนส์เดย์ใน Wednesday) ที่ควงแขน มาร์ติน ฟรีแมน (มหากาพย์ The Hobbit) ร่วมประชันบทบาทกันอย่างสุดแซ่บ กับภาพยนตร์ท้าทายด้านมืดในจิตใจ Miller’s Girl หลักสูตรร้อนซ่อนรัก” กับเรื่องราวของอาจารย์และศิษย์ในวิชาการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ที่ใกล้ชิดกันจนก่อให้เกิดความสัมพันธ์ต้องห้าม ซึ่งอาจจะทำลายชีวิตของพวกเขาทั้งคู่

              โดยหนังเปิดเรื่องแนะนำตัวละครหลักและรองอย่างรวดเร็ว แล้วผ่อนจังหวะการเล่าเรื่องลงนิดนึง จากนั้นเส้นเรื่องขยับไปข้างหน้าด้วยบทสนทนาระหว่างตัวละคร ความน่าสนใจในเรื่องจึงลดลงนิดหน่อย เพราะหนังไปไม่สุดเลยสักทาง ไม่ว่าจะทริลเลอร์เรื่องการเชือดเฉือนด้วยคารมและการกระทำ แม้แต่อีโรติกที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ต้องห้ามระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ ความสนุกเริ่มปรากฏในช่วงครึ่งเรื่องหลังอีกครั้ง ด้วยเห็นพัฒนาการของตัวละครทั้งด้านดีและด้านร้าย อาจจะมีความเกินเบอร์ในการกระทำของบางตัวละครอยู่บ้าง แต่ความสนุกก็หยุดลงยังไม่ทันตั้งตัวเพราะหนังตัดจบไปดื้อ ๆ ระหว่างที่ สงครามจิตวิทยาระหว่างตัวละครกำลังจะเริ่มขึ้น อารมณ์ค้างกันเลยทีเดียว ซึ่งหนังให้ภาพความสัมพันธ์ต้องห้ามว่ามันส่งผลกระทบกับเจ้าตัวและคนรอบข้างผ่านความคิดและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างไร มันก็เป็นโมเดลขนาดเล็กที่เป็นภาพสะท้อนความเป็นจริงในสังคมได้ดีเมื่อเกิดเรื่องอื้อฉาวอย่างนี้ขึ้น

ติดให้ **

000

เฉลยคำถามจากภาพยนตร์เรื่อง “AQUAMAN AND THE LOST KINGDOM” : แบล็ค แมนต้า

เฉลยคำถามจากภาพยนตร์เรื่อง “Wonka” : ชอกโกแลต

เฉลยคำถามจากภาพยนตร์เรื่อง “Ladybug And Cat Noir:”: เลดี้บัค และ แคทนัวร์

000

              “เด็กชายกับนกกระสา” (The Boy and the Heron)” อะนิเมะเรื่องล่าสุดจากสตูดิโอจิบลิ ที่มีนกกระสาพูดได้ลึกลับตัวหนึ่งร่วมอยู่ในเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับบรรดานกลึกลับทั้งหลาย และความเชื่อมโยงของพวกมันกับโลกแห่งวิญญาณ เริ่มที่ เด็กหนุ่ม มาฮิโตะ ไปบนภารกิจอันเหลือเชื่อเพื่อช่วยชีวิตแม่ของเขา ภาพยนตร์ล่าสุดจากสตูดิโอผู้ชนะรางวัลออสการ์ได้รับแรงบันดาลใจ      จากนวนิยายญี่ปุ่นจากปี 1937 เรื่อง “How Do You Live?” (“Kimitachi wa Dou Ikiru Ka”) โดย Genzaburo Yoshino และตำนานนกกระสาที่มีความเป็นมายาวนานกว่าหลายศตวรรษ ซึ่งที่จริงแล้ว นกกระสาได้สยายปีกของมันไปมีอิทธิพลต่อวรรณกรรม ศิลปะ เรื่องเล่าตำนานของญี่ปุ่นมาเป็นเวลานานนับพันปี

              เรื่องราวที่เป็นสารตั้งต้นของเส้นเรื่ิองที่ว่าด้วยความสูญเสียกับการยึดติดกับสิ่งที่สูญเสียไปและการเปิดรับสิ่งใหม่เข้ามาทดแทน ถูกเล่าและถ่ายทอดผ่านสไตล์และลายเซ็นของอาจารย์ Hayao Miyazaki ที่ผสมผสานโลกแห่งความเป็นจริงและโลกในจินตนาการที่มีความเป็นแฟนตาซีออกมาได้อย่างกลมกลืน ใครที่ชอบการตีความผ่านสัญลักษณ์จะสนุกกับหนังเรื่องนี้มาก เพราะมีหลายฉากหลายตอนที่หนังเอาสัญลักษณ์มาใช้แทนอารมณ์และความรู้สึกตลอดไปจนสิ่งที่ตัวละครรักต้องตัดสินใจได้อย่างเฉียบคม แต่ดูเหมือนว่าหนังพยายามจะเล่าอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างไปในคราวเดียวกัน ผลที่ได้ก็คือหนังไม่ได้โฟกัสครบทุกจุด อีกทั้งยังทำให้ตัวละครหลายตัวไม่มีพัฒนาการและไม่มีมิติ ทำให้มันหลวมและหย่อนเป็นช่วง ๆ

ติดให้ ** ครึ่ง

000

              หม่อม The Elite of Devils” โดย “ทำสตูดิโอ 19” (THAM STUDIO 19) และ “ฮอลลีวู้ด (ไทยแลนด์)” (HOLLYWOOD THAILAND) จัดความหลอนเรื่องราวอันน่าสะพรึงของหม่อมสลักจิต

              หนังทำออกมาได้บรรยากาศ มืด ๆ เก่า ๆ โทรม ๆ แต่เป็นความโทรมที่เคยมีความงดงาม ในอดีตอยู่ มีความผสมผู้ดี มีมารยาท และ ไร้มารยาท ที่กระทำเรื่องเสื่อมเสียในบางช่วง ก็คล้าย หนังแม่เบี้ย และบางช่วงก็เหมือนทายาทอสูร  จากที่นั่งดูหนังสร้างบรรยากาศ และฉากได้น่ากลัวหลอนแบบคล้ายของจริงดีทีเดียว เพียงแต่จังหวะตกใจอาจจะไม่ค่อยมี หรือไม่เน้นตรงจุดนั้นมั้ง ในส่วนของนักแสดงนำ เหล่าผู้มีอายุ สูงวัย เล่นได้ดีตามบทบาทที่ได้รับดี แต่เหล่าวัยรุ่น เล่นได้งั้น ๆ ส่วนมากจะเน้นเก็กสวยหล่อมากเลยทำให้แสดงออกมาไม่ดูเป็นธรรมชาติ สำหรับหนังโดยรวมออกแนวคล้ายทายาทอสูร แบบ ปลิง ปลิง ไม่ใช่ ตะขาบ ที่หาความสะดุ้งตกใจกับฉากน่ากลัวที่โผล่มาน้อยกว่าปก มีเพียงความมิดให้ความหลอน ดูแล้วไม่สะดุ้งตกใจทั้งที่เป็นแนวสยองขวัญนะ

ติดให้ **

000

               “เหมรฺย บน บาป สาป แช่ง” คือ หนังไทยระทึกขวัญจากแดนใต้ เรื่องแรกของปีมังกร ที่นำเสนอเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ผิดคำสาบาน สุดท้ายต้องแลกคืนด้วยชีวิต! ฝีมือการกำกับของนักร้องนักแสดงชาวใต้ เอกชัย ศรีวิชัย ซึ่งได้ดึงตัว “ซี ศิวัฒน์” มาประกบคู่กับ “เจนนี่ รัชนก” (เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น) เพื่อเป็นตัวดำเนินเรื่องราวของความสยองขวัญสั่นประสาทในภาพยนตร์

               เป็นการเล่าเรื่องราว 2 ไทม์ไลน์ อันเป็นชาติภพปัจจุบันและอดีตของตัวละครหลัก โดยเป็นจิ๊กซอว์ข้อมูลระหว่างกัน ดูไปเก็บข้อมูลไป ก็จะเข้าใจในเหตุและผลของเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติที่ตัวละคนได้พบเจอว่า เป็นผลจากกรรมเก่าในชาติก่อนที่ชาตินี้ถูกเขามาทวงคืน แนวคิดที่เป็นแกนกลางของเรื่องก็คือ การบนบานศาลกล่าวและการสาปแช่ง ธีมนี้จะครอบคลุมทุกอย่างของหนัง ช่วงแรกจะเป็นการบนบาน แล้วการสาปแช่งก็จะค่อย ๆ มีน้ำหนักมากขึ้นจนกลบแกนแรกไปเกือบหมด ทำให้โทนหนังเปลี่ยน ต้องปรับอารมณ์ตาม ความน่ากลัวไม่เท่าไร หนังไปพึ่งพาดนตรีประกอบที่โหมขึ้นทุกครั้งที่ถึงจังหวะก็เลยรู้สึกรำคาญมากกว่ากลัว งานสร้างอยู่ในระดับดี โดยเฉพาะเรื่องพิธีกรรมและสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับมโนราห์ที่หาดูได้ยาก สมเป็นหนังปักษ์ใต้ที่ทำและแสดงโดยคนใต้อย่างแท้จริง

ติดให้ **

000

               “The Beekeeper – นรกเรียกพ่อ” ผลงานกำกับสุดคลั่งจาก เดวิด เอเยอร์ ชายอยู่เบื้องหลังภาพยนตร์แอ็กชันโหด เดือด ดิบ อย่าง Fury และ Suicide Squad แท็กทีมกับแอ็กชันสตาร์ขวัญใจคนไทย เจสัน สเตแธม (Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw) โดยงานนี้เขารับบทเป็น “อดัม เคลย์” อดีตเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการลับมือพระกาฬในโปรแกรม “บีคีปเปอร์” ที่เกิดเหตุไม่คาดคิดเมื่อเพื่อนบ้านคนสนิทของเขาจบชีวิตตัวเองลงจากความใจสลายกลายเป็นความแค้นทันทีเมื่ออดัมรู้ความจริงว่า เธอตายเพราะตกเป็นเหยื่อของพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลวงโลก อดัมตัดสินใจออกล้างแค้นก่อนจะพบว่า เบื้องหลังธุรกิจสีเทานี้ไม่ใช่แค่แก็งคอลเซ็นเตอร์ธรรมดา แต่เป็นขบวนการขนาดใหญ่ที่ถูกชักใยโดยกลุ่มทุนและรัฐบาล ที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อจากประชาชน

              หนังเดินเรื่องไม่ชักช้า ชัดเจนว่าทำไม อดีตBeekeeperรุ่นเก๋าถึงต้องออกล่า หนังดูสนุก พล็อตเข้าใจง่าย ติดเทรนด์เพราะคนโดนโกงจากไอ้พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตำรวจเองก็ตามจับไม่ได้หมด ดูหนังเรื่องนี้ก็อยากได้ฮีโร่ Beekeeper มาถล่มไอ้พวกคอลเซ็นเตอร์จริง ๆ  หนังเน้นบู๊ล้างผลาญเหมือนสเตแธมจับทางตัวเองถูกว่า มาแนวนี้แล้วจะเกิด มิหนำซ้ำสเตแธมก็เล่นบู๊เองหลายฉาก ด้วยวัยถ้ามาเอาดีทางนี้ทำออกมาได้อีกหลายภาคเลย หนังทำออกมาติดเทรนด์มาก ดูแล้วไม่ผิดหวัง ซาวน์หนักแน่น ในแง่พระเอกก็ปราบคนร้ายล้างแค้นแทนคนใกล้ตัวได้สมเหตุผล แต่ติดบางมุกก็เหลือเชื่อนะ ข้ามาคนเดียวปราบแก๊งมันได้ราบเป็นหน้ากลอง แถมปราบยันตัวแม่ ด้วย นอกจากนี้ฉากบู๊กำกับออกมาดูดุดัน เสียงเตะ ต่อย หนักแน่น ซาวน์ไม่กลบเสียงพูดหรือจู่ ๆ ก็ดังลั่น ดูแล้วสมน้ำหน้าไอ้พวกคอลเซ็นเตอร์อยากให้พวกมันเจอแบบนี้ แล้วหนังได้เกริ่นว่าทีม Beekeeper ยังมีอยู่ ถ้าทำภาคต่อก็ไม่ยากหาพล็อตเจ๋ง ๆ ตามกระแสโลกน่าจะมีต่อได้หลายภาค แต่ถ้าสเตแธมยังบู๊ลุยเดี่ยวไหวนะ

ติดให้ **** ครึ่ง

000

               “สวรรค์บ้านนอก กกกอก The Culture ออนซอนอีสาน” หนังภูไทโดย แรมโบ้อีสาน นำแสดง : เศรษฐพงศ์ เพียงพอ, วิลาวัลย์ สมบูรณ์, ภานพ พื้นพรหม  โดยผู้กำกับ สมยศ ศรีสมบูรณ์  เรื่องราวของคำคูนชาวหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ทางการร้องเพลง ลูกชายของตำนานหมอแคนและหมอลำภูไทแห่งบ้านกกกอกและคำหล้าหญิงสาวคนรักของคำคูน หลานสาวแม่ใหญ่แดงครอบครัวผู้สืบสานวัฒนธรรมการทอผ้าแห่งบ้านกกกอก (ผ้าฝ้ายย้อมคราม)

               หนังทำออกมาเป็นแนว MV มิวสิกวิดีโอมากกว่าจะเป็นภาพยนตร์ มีร้องเพลงเดิม ๆ ซ้ำ ๆหลายรอบเหมือนต้องการให้คนดูร้องตามได้  ไม่เหมือนหนังเทศจะมีเพลงใหม่ในแต่ละฉาก จังหวะการเต้นหมู่คณะก็ดูเป็นธรรมชาติ ชาวบ้าน ๆ ที่มีศิลปะวัฒนธรรมดี เนื้อเรื่อง เรียบง่าย วิถีชีวิตสงบ ๆ รักสันติ ทุกคนต่างมองโลกแง่ดี ช่วยเคลียร์ปัญหาทางใจให้กันแบบสร้างสรรค์ ไม่ทำร้าย ไม่ทอดทิ้งกัน เรื่องราวสั้นมาก ดูจบมีงง ว่า อ้าว! จบแล้วเหรอ? สรุปเป็นการนำเสนอเรื่องสั้นของคนอีสานท้องถิ่นที่บางหมู่บ้านยังคงสืบสานวัฒนธรรมประเพณีดีงามในชุมชน และยังคงไว้ซึ่งการอยู่อย่างสงบ เรียบง่าย สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นตามยุคสมัย แต่แสดงให้เห็นว่าชุมชนหมู่บ้านนี้ยังคงรักสงบ รักสันติ อยู่อย่างร่วมด้วยช่วยกัน เน้นการนำเสนอแบบนี้มากกว่าความรักของพระเอกนางเอก

ติดให้ * ครึ่ง

000

Related posts