ชมคอลเลกชั่นเครื่องประดับชั้นสูง (High Jewelry) จากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ของนักลงทุนแถวหน้าของเมืองไทย มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง ที่ไม่ได้มีดีแค่ใส่โชว์ แต่ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการสร้างกำไรจากการลงทุน

เครื่องประดับอันสวยงามนอกจากจะให้คุณค่าทางใจแก่ผู้ที่ได้สวมใส่แล้ว ในทางกลับกันยังแสดงถึงความมั่งคั่งส่วนบุคคลของเจ้าของ เพราะไม่ใช่แค่เพียงความสวยงามที่ได้เห็น เครื่องประดับยังบ่งบอกถึงความสามารถในการลงทุนในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกได้อีกด้วย ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับนั้นก็เติบโตทุกปี ซึ่งนักลงทุนแถวหน้าของเมืองไทยอย่าง ‘มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง’ เจ้าของซาลอนสุดหรู Maison Mark Thawin Hair & Elite Lifestyle นั้นก็เป็นนักสะสมคนหนึ่งที่ชื่นชอบการลงทุนในเครื่องประดับชั้นสูง ที่ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีมากกว่าความสวยงาม

มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง’ กล่าวถึงความน่าสนใจของการลงทุนในเครื่องประดับชั้นสูง (High Jewelry) ว่า “ก่อนที่เราจะเริ่มลงทุนกับเครื่องประดับชั้นสูงนั้น เราก็เคยลงทุนและสะสมเพชรมาก่อน ได้ศึกษารายละเอียดของเพชรมาเป็นอย่างดี ทั้งการดูความบริสุทธิ์ของเพชร ระดับความแข็ง น้ำหนักของเพชร ใบรับรองต่างๆ ถึงขนาดที่ว่าใครจะเอาเพชรมาหลอกเราไม่ได้เลย แต่จุดที่ทำให้หันมาลงทุนในเครื่องประดับชั้นสูงนั้น มาจากประสบการณ์ที่ได้ไปตลาดประมูลที่ต่างประเทศ ทำให้เราได้เห็นมุมมองของนักลงทุนอื่นๆ ว่าทำไมนักลงทุนถึงไม่ได้สนใจลงทุนในเพชรกันมากนัก เพราะเพชรสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาด ราคาขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลก (Rapaport) และยังผันผวนตามค่าเงินดอลล่าร์ แต่ในทางกลับกันเครื่องประดับอย่างไฮจิวเวลรี่กลับมีสตอรี่ที่น่าสนใจ ทั้งเรื่องราวความเป็นมาอย่างยาวนานของแบรนด์ แหล่งที่มา ชื่อเสียงของดีไซน์เนอร์ ความประณีตในการผลิต ที่มีจำนวนชิ้นน้อยหรือมีชิ้นเดียว ทำให้ราคาไม่ได้ผันผวนตามตลาด และให้ผลตอบแทนที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเครื่องประดับไฮจิวเวลรี่นั้น สามารถสร้างผลตอบแทนได้หากเรารู้จักเลือกและถือครอง ซึ่งเหมาะกับการลงทุนในระยะยาว”

เครื่องประดับสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ไฟน์จิวเวลรี่ (Fine Jewelry) คือ เครื่องประดับที่ตัวเรือนทำจากโลหะมีค่า หรือฝังด้วยเพชรพลอยมีค่า จะเป็นแค่องค์ประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้ เช่น ทองคำแท้ ทองขาว เพชร เพชรสี พลอยเนื้ออ่อน ทับทิม มุกแท้ ซึ่งจะมีแบรนด์หรือไม่มีแบรนด์ก็ได้ คุณภาพดี มีราคาแพง เป็นที่รู้จักของตลาด รวมถึงการออกแบบตัวเรือนเน้นความเป็นศิลปะ สวยงาม หรูหรา ที่สำคัญสามารถใส่ในชีวิตประจำวัน  และประเภทไฮจิวเวลรี่ (High Jewelry) คือ เครื่องประดับชั้นสูงที่เน้นความเอ็กซ์คลูซีฟ ต้องสั่งซื้อเป็นพิเศษ มีการนำสินค้าเดินทางไปจัดแสดงตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมเป็นหลัก มีประวัติความเป็นมาของแบรนด์อย่างยาวนาน มีแหล่งที่มา มีเรื่องราวแรงบันดาลใจในการออกแบบ พร้อมเทคนิคและนวัตกรรมในการผลิต

สำหรับผู้ที่สนใจในเครื่องประดับไฮจิวเวลรี่ แนะนำให้ศึกษารายละเอียดและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนการลงทุน นอกจากจะพิจารณาเรื่องราคาแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงแหล่งที่มา สภาพความสมบูรณ์ของเครื่องประดับ และความหายากในท้องตลาด รวมถึงต้องศึกษาข้อมูลแหล่งซื้อขาย อย่างเช่น สถาบันประมูล ‘คริสตี้ส์’ (Christie’s) ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการประมูลของโลก ทั้งงานศิลปะ เครื่องประดับ นาฬิกา ไวน์ชั้นยอด เครื่องดนตรี เฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงพรม หรือสถาบันประมูล ‘ซัทเทบีส์’ (Sotheby’s) บริษัทจัดการประมูลที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ ศูนย์ในการประมูลของสะสมราคาแพง อาทิ เครื่องเพชร นาฬิกา งานศิลปะ และรถยนต์

และสำหรับเครื่องประดับชั้นสูง 6 ชิ้นเด่นจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่าง ‘บูลการี’ (Bvlgari) และ ‘บูเชอรง’ (Boucheron) ที่มาร์ค ธาวินได้สะสมเพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนนั้น ประกอบไปด้วยกำไลและสร้อยจากแบรนด์ ‘บูลการี’ (Bvlgari) จิลเวลรี่ชั้นสูงแบรนด์ดังจากประเทศอิตาลี มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นด้วยเครื่องประดับรูปงู สัญลักษณ์แห่งความสมบูรณ์ สติปัญญา และพลังอำนาจ ซึ่งถ้าใครเห็นก็จะทราบได้ทันทีว่านี่คือเครื่องประดับจากบูลการี โดยจะมีไอเทมชิ้นเด่นอย่าง กำไล ‘บูลการี เซอร์เพนติ ไดมอนด์ เบรซเลท’ (Bvlgari Serpenti Diamond Bracelet) กำไลรูปงูที่ใช้เทคนิคการผลิตด้วยฝีมือโบราณ Tubogas’  ในยุคศตวรรษที่ 18 มาแต่งแต้มในงานจิวเวลรี่ มีการนำทองหรือเหล็กมาตัดและขึ้นรูปให้คล้ายกับสปริง เพื่อใช้พันข้อมือหรือลำคอเข้ากับทรวดทรงของผู้สวมใส่ ราคา 13 ล้านบาท

สร้อย ‘บูลการี เซอเพนติ ไดมอนด์ เนคเลส’ (Bvlgari Serpenti Diamond Necklace) สร้อยคองูสุดโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ ตัวเรือนผลิตจากทองขาว (White Gold) โดยความพิเศษของเครื่องประดับชิ้นนี้อยู่ที่เป็นการสั่งทำไซส์ขนาดพิเศษ เพราะโดยปกติแล้วสร้อยคอชิ้นนี้จะผลิตไซส์สำหรับผู้หญิง หากต้องการขยายไซส์เพิ่มจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซื้อมาในราคา 13 ล้านบาท แต่ตอนนี้ราคาขึ้นไปถึง 16 ล้านบาท

สร้อย ‘บูลการี โมเนเต้ เพนแด้นท์ วอช’ (Bvlgari Monete Pendant Watch) สร้อยคอที่สามารถเป็นได้ทั้งเครื่องประดับ และเครื่องบอกเวลา สร้อยชิ้นนี้ผู้ที่จะได้ครอบครองต้องเป็นลูกค้าวีไอพีของแบรนด์ถึงจะได้สิทธิ์ในการซื้อ มีความพิเศษอยู่ที่ตัวจี้จะเป็นเหรียญ Monete ที่ประดับอยู่บนนาฬิกาตูร์บิยง ซึ่งเป็นรุ่นที่ผลิตมาจากเหรียญโรมันโบราณที่มีชื่อว่า ‘เตตราดราคม’ (Tetradrachm) สืบทอดมาจาก Alexander the Great ซึ่งสร้อยเส้นนี้เป็นสร้อยที่มีเส้นเดียวในโลก ส่งผลให้มูลค่าของสร้อยปรับเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา เมื่อสี่ปีที่แล้วราคาอยู่ที่ 16 ล้านบาท แต่ในปัจจุบันราคายังประเมินไม่ได้

                สร้อย ‘บูลการี ลอง ไดมอนด์ เซอเพนติ สเนค เนคเลส’ (Bvlgari Long Diamond Serpenti Snake Necklace) สร้อยคอทองขาว (White Gold) 18K ที่มีดีไซน์บ่งบอกถึงความหรูหรา สร้อยงูตัวยาวดึงดูดทุกสายตาเมื่อหยิบมาสวมใส่ รวมถึงเครื่องประดับชิ้นเอ็กซ์คลูซีฟอย่าง ‘สร้อยแบบสั่งทำพิเศษ’ (Bvlgari Special Order) ที่ผู้สวมใส่สามารถเลือกพลอยประดับได้เอง ตามความพึงพอใจ ในตัวเรือนอันงดงามของแบรนด์ ซึ่งการสั่งทำสร้อยแบบพิเศษนี้จะต้องเป็นลูกค้าวีวีไอพี (VVIP) ของแบรนด์เท่านั้นถึงจะสามารถสั่งทำได้ ซึ่งสร้อยเส้นนี้สนนราคาที่ 18.5 ล้านบาท

                สุดท้ายที่แบรนด์ ‘บูเชอรง’ (Boucheron) แบรนด์จิวเวลรี่ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ.1858 ที่ใจกลางกรุงปารีส กับสร้อยข้อมือ ‘บูเชอรง ไพธ่อน เบรซเลท’ (Boucheron Python Bracelet) ผลิตจากทองขาว (White Gold) ถือเป็นสร้อยข้อมือชิ้นเด่นของแบรนด์ที่หายาก เพราะทำออกมาน้อยชิ้น และสร้อยข้อมือเส้นนี้เป็นที่ฮือฮามากในวงการฮอลลีวูดตั้งแต่ปี 2014 โดยมีกลไกที่สามารถดึงลิ้นงูออกมาแล้วจะเจอลูกแอปเปิ้ลอยู่ในปากของงู ซึ่งเป็นดีเทลสุดพิเศษที่ทำให้สร้อยเส้นนี้ดูโดดเด่นจากเครื่องประดับชิ้นอื่นๆ ราคาแรกซื้ออยู่ที่ 13 ล้านบาท และในปัจจุบันราคาก็ขยับสูงขึ้นไปหลายเปอร์เซ็นต์

นอกจากนี้หลายคนอาจมีความสงสัยว่าสร้อยของบูลการีและบูเชอรงนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร? ทั้งที่ดีไซน์ต่างก็เป็นรูปงูเช่นเดียวกัน ซึ่งหากได้ศึกษาแล้วจะพบว่าแต่ละแบรนด์จะมีเรื่องราวแรงบันดาลใจที่แตกต่างกัน อย่างแบรนด์บูลการีนั้นได้แรงบันดาลใจจากงูในตำนานเทพนิยายกรีกโบราณ ส่วนแบรนด์บูเชอรงนั้นมาจากตำนานงูในสวนอีเดน (Eden) เรื่องราวความเป็นมาอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเครื่องประดับชั้นสูงนี้ช่วยสร้างมูลค่าให้กับสินค้าได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นแล้วเครื่องประดับแต่ละชิ้นยังสามารถดัดแปลงการใช้งานได้หลายอย่าง เช่น ถอดชิ้นส่วนมาใส่เป็นแหวน กำไล เข็มกลัด ทำให้เกิดฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้นอีกด้วย

สามารถรับชมเรื่องราวการลงทุนในเครื่องประดับชั้นสูง (High Jewelry) เพิ่มเติมได้ทาง https://www.youtube.com/watch?v=GBAFgxKaW2s หรือติดตามคอนเทนต์ดีๆ เกี่ยวกับการลงทุนโดยเซเลบริตี้นักลงทุน  แบรนด์เนมชื่อดัง ‘มาร์ค ธาวิน พี เซียวตง’ ได้ทาง Facebook, Instagram และ YouTube ชื่อ The World of Mark Thawin

Related posts